แถลงการณ์ คณะรัฐศาสตร์เพื่อประชาธิปไตย
ฉบับที่ ๑/๒๕๕๖
ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีคำวินิจฉัยร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่...) พ.ศ......เกี่ยวกับที่มาของสมาชิกวุฒิสภาให้มาจากการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ โดยศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามีอำนาจรับคำร้อง โดยอ้างอำนาจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๑๖ วรรคห้า ประกอบมาตรา ๓ ตามหลักนิติธรรม และสิทธิของบุคคลตามมาตรา ๒๗ ว่ามีสิทธิยื่นคำร้องตาม มาตรา ๖๘ วรรคสอง
คณะรัฐศาสตร์เพื่อประชาธิปไตย ไม่เห็นพ้องกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
๑. หลักระบบรัฐสภา ราชอาณาจักรไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแบบรัฐสภา หมายความว่ารัฐสภามีอำนาจตรากฎหมายตลอดจนแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยอาศัยมติของเสียงข้างมากตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ เพราะรัฐสภามาจากปวงชนชาวไทยซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๓ ดังนั้นรัฐสภาต้องรับผิดชอบต่อประชาชนและยึดโยงกับประชาชนอย่างใกล้ชิด ขณะที่รัฐบาลอันเป็นฝ่ายบริหารที่มาจากมติของเสียงส่วนใหญ่ในสภา จึงต้องรับผิดชอบต่อรัฐสภาในฐานะที่รัฐสภาเป็นตัวแทนของปวงชนชาวไทย การที่รัฐสภายึดโยงกับประชาชนจึงสะท้อนเจตจำนงหรือความต้องการของประชาชนได้มากกว่าฝ่ายตุลาการหรือศาล ที่มิได้ยึดโยงกับประชาชนโดยตรงแต่อย่างใด ขณะเดียวกันการปกครองระบบรัฐสภามีกลไกตรวจสอบถ่วงดุลที่จำเป็นอย่างเพียงพอให้เกิดดุลยภาพแห่งอำนาจสามฝ่าย ประกอบด้วยการอภิปรายไม่ไว้วางใจ การอภิปรายทั่วไป การตั้งกระทู้ การถามเรื่องเร่งด่วนสำคัญในสภา การอภิปรายและยับยั้งกฎหมายของวุฒิสภา การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐตามรัฐธรรมนูญ หมวด ๑๒ มาตรา ๒๕๙-๒๗๘ หมวด ๑๓ จริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มาตรา ๒๗๙-๒๘๐ การควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน มาตรา ๑๕๖-๑๖๒ เสรีภาพในทางวิชาการในการวิพากษ์วิจารณ์รัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามมาตรา ๕๐ การถ่ายทอดสดการประชุมสภา เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของบุคคลและสื่อสารมวลชน ซึ่งจะเห็นว่ามีกลไกตรวจสอบถ่วงดุลเป็นจำนวนมาก และแม้อำนาจสามฝ่ายขาดดุลยภาพ ก็ไม่ใช่อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญเข้ามาก้าวก่ายวินิจฉัยได้ เพราะความไม่สมดุลดังกล่าวย่อมผลักดันให้เกิดข้อเรียกร้องหรือชุมนุมเป็นแรงกดดันทางการเมืองให้แก้ไขกฎหมายหรือรัฐธรรมนูญผ่านกลไกรัฐสภาตามระบบการเมืองของระบอบประชาธิปไตยในที่สุด ดังนั้นรัฐสภาย่อมมีอำนาจโดยตรงในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเพื่อจัดโครงสร้าง ความสัมพันธ์ขององค์กรและสถาบันทางการเมือง ให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ของบ้านเมือง ดังที่ได้มีบทบัญญัติให้อำนาจรัฐสภาไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๙๑ อย่างชัดแจ้ง
๒. หลักกฎหมายลายลักษณ์อักษร ประเทศไทยเป็นรัฐที่ปกครองด้วยกฎหมายหรือนิติรัฐ(Legal state)ใช้ระบบการกฎหมายเป็นลำดับชั้น โดยมีรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรเป็นกฎหมายสูงสุด คือมิได้ปกครองตามอำเภอใจของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือคณะบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่ปกครองตามหลักนิติรัฐ ดังนั้นสิ่งใดรัฐธรรมนูญมิได้บัญญัติไว้ว่าให้มีอำนาจกระทำได้ถือไม่มีอำนาจกระทำตามหลักการตีความกฎหมายมหาชนที่ว่า“ถ้าไม่มีกฎหมายให้อำนาจไว้ ฝ่ายปกครองจะกระทำมิได้” ดังนั้นกรณีศาลรัฐธรรมนูญ อ้างมีอำนาจรับคำร้องตามมาตรา ๖๘ วรรคสอง ถือเป็นการตีความผิดหลักนิติวิธีของกฎหมายมหาชน เพราะไม่มีบทบัญญัติมาตราใดตามรัฐธรรมนูญที่บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ แต่การอ้างอำนาจวินิจฉัยของศาล โดยอ้างมาตรา ๓ วรรคสอง มาตรา ๒๑๖ วรรคห้า มาตรา ๒๗ และ มาตรา ๖๘ วรรคสอง เสมือนการขยายความขอบเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ โดยใช้นิติวิธีตีความแบบหลักกฎหมายแพ่งคือ“เมื่อไม่มีกฎหมายห้ามไว้ เอกชนจะกระทำอย่างไรก็ได้”เป็นว่า“เมื่อไม่มีกฎหมายห้ามไว้ ศาลจะกระทำอย่างไรก็ได้” ดังนั้นการตีความของศาลรัฐธรรมนูญจึงเป็นการตีความที่ผิดนิติวิธี คือขัดต่อกฎแห่งกฎหมาย หรือนิติธรรม(Rule of Law) ย่อมถือได้ว่าศาลรัฐธรรมนูญละเมิดรัฐธรรมนูญโดยจงใจทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา ๓ วรรคสอง เป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักนิติธรรมอย่างชัดแจ้ง
๓. หลักเจตนารมณ์แห่งกฎหมาย เจตนารมณ์ทางกฎหมายของรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๘ ต้องค้นหาความหมายจากผู้ร่างรัฐธรรมนูญ สภาร่างรัฐธรรมนูญ และการอภิปรายในคณะกรรมาธิการและรัฐสภา โดยที่รัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๘ ปรากฏในหมวด ๓ ว่าด้วย “สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย” และเป็นบทบัญญัติที่มีบทบัญญัติมาจากมาตรา ๖๓ ของรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ ซึ่งผู้ร่างเห็นพ้องว่า ผู้ยื่นคำร้องต้องยื่นต่ออัยการสูงสุดเท่านั้น โดยมีเหตุประกอบ คือเพื่อกลั่นกรองมิให้คดีขึ้นสู่ศาลรัฐธรรมนูญเป็นจำนวนมาก โดยไม่ปรากฏว่าสาระสำคัญของคำอภิปรายเป็นอย่างอื่น ดังนั้นเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญมาตรานี้คือให้ยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุดเท่านั้น แต่การที่ศาล รัฐธรรมนูญรับคำร้องจากผู้ร้องโดยตรง มาตรา ๖๘ วรรคสอง และเห็นว่าการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพของบุคคลตามมาตรา ๖๘ วรรคหนึ่ง ถือเป็นการตีความที่ขัดต่อเจตนารมณ์ของกฎหมาย เพราะการกระทำของรัฐสภาเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๙๑ ซึ่งเป็นอำนาจของรัฐสภาในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติ รัฐสภามิได้กระทำไปโดยอ้างสิทธิและเสรีภาพ ตามมาตรา ๖๘ วรรคหนึ่งแต่อย่างใด
๔. หลักจารีตการปกครองและแนวปฏิบัติที่ผ่านมา เป็นที่ยุติและยอมรับกันทุกฝ่ายในยุคร่วมสมัยว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจของรัฐสภา ดังปรากฏในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๓๔ และรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๔๐ ว่าอำนาจการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเป็นของรัฐสภา โดยจารีตแนวปฏิบัตินี้กลายเป็นบรรทัดฐานของระบบการเมืองร่วมสมัยและกลายเป็น“สัญญาประชาคม”ที่ทุกฝ่ายยอมรับโดยดุษฎีโดยมิเคยปรากฏว่าเกิดข้อโต้แย้ง ถกเถียง หรือการวิพากษ์วิจารณ์แต่ประการใด แม้ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๔๐ ก็ไม่มีข้อโต้แย้งในเรื่องอำนาจการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ และเข้าใจตรงกันว่าอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจของรัฐสภาแต่ฝ่ายเดียว เว้นแต่รัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๕๐ ที่ยกร่างและให้ลงประชามติรับรองหรือไม่รับรองทั้งฉบับ พร้อมสร้างเงื่อนไขบังคับเลือกอันปฏิเสธไม่ได้ว่าหากร่างรัฐธรรนูญ พ.ศ. ๒๕๕๐ไม่ผ่านการประชามติ คณะรัฐประหารยุคนั้นมีอำนาจหยิบยกรัฐธรรมนูญฉบับใดมาบังคับใช้ก็ได้ ภายใต้ความหวาดกลัวทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีทางเลือกหนทางเดียว คือ ถูกบังคับให้รับร่างรัฐธรรมนูญโดยดุษฎี ซึ่งเป็นบรรยากาศแห่งความกลัวของการทำประชามติ ภายใต้อำนาจคณะรัฐประหาร ซึ่งวิญญูชนย่อมทราบดีว่ามิอาจนำเหตุการณ์อันไม่ปกตินี้มาลบล้าง “สัญญาประชาคม”ในระบอบประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นแล้วได้แต่อย่างใด
๕. หลักความขัดกันแห่งผลประโยชน์ รัฐธรรมนูญบัญญัติให้รัฐสภามีอำนาจหน้าที่เสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม เพราะอำนาจของรัฐสภาเกี่ยวโยงกับอธิปไตยของประชาชนผ่านตัวแทนที่ประชาชนให้อำนาจผ่านการเลือกตั้ง รัฐสภาจึงยึดโยงกับประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตยมากกว่าศาลรัฐธรรมนูญ รัฐสภาจึงมีอำนาจเด็ดขาดในแก้ไขเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสถาบันและองค์กรทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจรัฐ รวมทั้งมีอำนาจให้แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญให้ยุบเลิกองค์กรตามรัฐธรรมนูญ เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ เป็นต้น ในกรณีเช่นนี้หากศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจในการวินิจฉัยว่าร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมขัดหรือชอบด้วยรัฐธรรมนูญแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญจะเข้าสู่สถานการณ์ความขัดกันแห่งผลประโยชน์ กล่าวคืออาศัยหลักความเป็นกลางศาลรัฐธรรมนูญย่อมไม่อาจรับคำร้องตามที่มีผู้ยื่นตามมาตรา ๖๘ วรรคสองได้ เพราะศาลรัฐธรรมนูญถือเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงในการวินิจฉัย ความหมายย้อนกลับเชิงตรรกะ คือศาลไม่มีอำนาจรับคำร้องตามมาตรา ๖๘ วรรคสองเพื่อวินิจฉัยการแก้ไขรัฐธรรมนูญทุกกรณี ซึ่งสอดคล้องกับเหตุผลที่ได้แสดงมาแล้วใน ๔ ข้อที่ผ่านมาว่า ไม่มีบทบัญญัติมาตราใดตามรัฐธรรมนูญ ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้
๖. หลักการปฏิบัติตามคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๘ วรรค สอง บัญญัติว่า“สั่งการให้เลิกการกระทำ” ตามกรณีนี้ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยคำร้องหลังจากที่นายกรัฐมนตรีทูลเกล้าตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๕๐ แล้ว ถือได้ว่าร่างรัฐธรรรมนูญได้พ้นไปจากรัฐสภาแล้ว การสั่งให้เลิกการกระทำตามมาตรา ๖๘วรรคสอง คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจึงไม่มีผลผูกพันใดทั้งต่อนายกรัฐมนตรีและรัฐสภา และรัฐสภามีหน้าที่รอพระราชวินิจฉัยตามมาตรา ๑๕๑ เท่านั้น
ด้วยเหตุผลที่ยกมานี้ คณะรัฐศาสตร์เพื่อประชาธิปไตย จึงเรียกร้องให้รัฐสภาปฏิเสธอำนาจการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในคดีดังกล่าว เพราะศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจรับคำร้องตามมาตรา ๖๘ วรรคสอง เพราะผู้ถูกร้องมิได้กระทำขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๘ วรรคหนึ่ง และให้รัฐสภารอพระราชวินิจฉัยตามมาตรา ๑๕๑ เพื่อปกป้องคุ้มครองและรักษาการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในระบบรัฐสภา
วันที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๖
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
เห็นด้วยกับแถลงการณ์ฉบับนี้เป็นอย่างยิ่ง เหมือนกับ หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ และจังหวัด เขาแบ่งกันชัดเจน ใครปกครองดูแล มีอำนาจหน้าที่แค่ไหน รุกล้ำกันไม่ไได้ ศาล รธน.ก็เช่นกัน อย่ารุกล้ำอำนาจ หน้าที่ของรัฐสา เข้าใจไม๊ !
ตอบลบ