วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2556

วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

แถลงการณ์ คณะรัฐศาสตร์เพื่อประชาธิปไตย ฉบับที่ ๑/๒๕๕๖

แถลงการณ์  คณะรัฐศาสตร์เพื่อประชาธิปไตย
ฉบับที่ ๑/๒๕๕๖

ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีคำวินิจฉัยร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม  (ฉบับที่...) พ.ศ......เกี่ยวกับที่มาของสมาชิกวุฒิสภาให้มาจากการเลือกตั้ง  เมื่อวันที่  ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๖  โดยศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามีอำนาจรับคำร้อง โดยอ้างอำนาจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๑๖  วรรคห้า ประกอบมาตรา ๓  ตามหลักนิติธรรม และสิทธิของบุคคลตามมาตรา ๒๗  ว่ามีสิทธิยื่นคำร้องตาม มาตรา ๖๘ วรรคสอง

คณะรัฐศาสตร์เพื่อประชาธิปไตย ไม่เห็นพ้องกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ  ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้

๑.    หลักระบบรัฐสภา  ราชอาณาจักรไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแบบรัฐสภา  หมายความว่ารัฐสภามีอำนาจตรากฎหมายตลอดจนแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยอาศัยมติของเสียงข้างมากตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ  เพราะรัฐสภามาจากปวงชนชาวไทยซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๓ ดังนั้นรัฐสภาต้องรับผิดชอบต่อประชาชนและยึดโยงกับประชาชนอย่างใกล้ชิด ขณะที่รัฐบาลอันเป็นฝ่ายบริหารที่มาจากมติของเสียงส่วนใหญ่ในสภา  จึงต้องรับผิดชอบต่อรัฐสภาในฐานะที่รัฐสภาเป็นตัวแทนของปวงชนชาวไทย  การที่รัฐสภายึดโยงกับประชาชนจึงสะท้อนเจตจำนงหรือความต้องการของประชาชนได้มากกว่าฝ่ายตุลาการหรือศาล ที่มิได้ยึดโยงกับประชาชนโดยตรงแต่อย่างใด ขณะเดียวกันการปกครองระบบรัฐสภามีกลไกตรวจสอบถ่วงดุลที่จำเป็นอย่างเพียงพอให้เกิดดุลยภาพแห่งอำนาจสามฝ่าย ประกอบด้วยการอภิปรายไม่ไว้วางใจ  การอภิปรายทั่วไป  การตั้งกระทู้  การถามเรื่องเร่งด่วนสำคัญในสภา  การอภิปรายและยับยั้งกฎหมายของวุฒิสภา  การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐตามรัฐธรรมนูญ หมวด  ๑๒  มาตรา ๒๕๙-๒๗๘  หมวด ๑๓ จริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มาตรา ๒๗๙-๒๘๐  การควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน  มาตรา  ๑๕๖-๑๖๒  เสรีภาพในทางวิชาการในการวิพากษ์วิจารณ์รัฐสภา คณะรัฐมนตรี  และศาล ตามมาตรา ๕๐  การถ่ายทอดสดการประชุมสภา  เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของบุคคลและสื่อสารมวลชน ซึ่งจะเห็นว่ามีกลไกตรวจสอบถ่วงดุลเป็นจำนวนมาก  และแม้อำนาจสามฝ่ายขาดดุลยภาพ  ก็ไม่ใช่อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญเข้ามาก้าวก่ายวินิจฉัยได้  เพราะความไม่สมดุลดังกล่าวย่อมผลักดันให้เกิดข้อเรียกร้องหรือชุมนุมเป็นแรงกดดันทางการเมืองให้แก้ไขกฎหมายหรือรัฐธรรมนูญผ่านกลไกรัฐสภาตามระบบการเมืองของระบอบประชาธิปไตยในที่สุด  ดังนั้นรัฐสภาย่อมมีอำนาจโดยตรงในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเพื่อจัดโครงสร้าง ความสัมพันธ์ขององค์กรและสถาบันทางการเมือง ให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ของบ้านเมือง  ดังที่ได้มีบทบัญญัติให้อำนาจรัฐสภาไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๙๑ อย่างชัดแจ้ง
๒.    หลักกฎหมายลายลักษณ์อักษร ประเทศไทยเป็นรัฐที่ปกครองด้วยกฎหมายหรือนิติรัฐ(Legal state)ใช้ระบบการกฎหมายเป็นลำดับชั้น โดยมีรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรเป็นกฎหมายสูงสุด  คือมิได้ปกครองตามอำเภอใจของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือคณะบุคคลใดบุคคลหนึ่ง  แต่ปกครองตามหลักนิติรัฐ  ดังนั้นสิ่งใดรัฐธรรมนูญมิได้บัญญัติไว้ว่าให้มีอำนาจกระทำได้ถือไม่มีอำนาจกระทำตามหลักการตีความกฎหมายมหาชนที่ว่า“ถ้าไม่มีกฎหมายให้อำนาจไว้  ฝ่ายปกครองจะกระทำมิได้” ดังนั้นกรณีศาลรัฐธรรมนูญ  อ้างมีอำนาจรับคำร้องตามมาตรา  ๖๘ วรรคสอง ถือเป็นการตีความผิดหลักนิติวิธีของกฎหมายมหาชน เพราะไม่มีบทบัญญัติมาตราใดตามรัฐธรรมนูญที่บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้  แต่การอ้างอำนาจวินิจฉัยของศาล โดยอ้างมาตรา ๓ วรรคสอง มาตรา ๒๑๖ วรรคห้า  มาตรา ๒๗  และ มาตรา ๖๘ วรรคสอง เสมือนการขยายความขอบเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ โดยใช้นิติวิธีตีความแบบหลักกฎหมายแพ่งคือ“เมื่อไม่มีกฎหมายห้ามไว้  เอกชนจะกระทำอย่างไรก็ได้”เป็นว่า“เมื่อไม่มีกฎหมายห้ามไว้  ศาลจะกระทำอย่างไรก็ได้” ดังนั้นการตีความของศาลรัฐธรรมนูญจึงเป็นการตีความที่ผิดนิติวิธี  คือขัดต่อกฎแห่งกฎหมาย หรือนิติธรรม(Rule of Law)  ย่อมถือได้ว่าศาลรัฐธรรมนูญละเมิดรัฐธรรมนูญโดยจงใจทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา  ๓ วรรคสอง  เป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักนิติธรรมอย่างชัดแจ้ง
๓.    หลักเจตนารมณ์แห่งกฎหมาย   เจตนารมณ์ทางกฎหมายของรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๘  ต้องค้นหาความหมายจากผู้ร่างรัฐธรรมนูญ  สภาร่างรัฐธรรมนูญ  และการอภิปรายในคณะกรรมาธิการและรัฐสภา  โดยที่รัฐธรรมนูญ  มาตรา ๖๘ ปรากฏในหมวด ๓ ว่าด้วย “สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย” และเป็นบทบัญญัติที่มีบทบัญญัติมาจากมาตรา ๖๓ ของรัฐธรรมนูญ  ๒๕๔๐  ซึ่งผู้ร่างเห็นพ้องว่า ผู้ยื่นคำร้องต้องยื่นต่ออัยการสูงสุดเท่านั้น โดยมีเหตุประกอบ คือเพื่อกลั่นกรองมิให้คดีขึ้นสู่ศาลรัฐธรรมนูญเป็นจำนวนมาก  โดยไม่ปรากฏว่าสาระสำคัญของคำอภิปรายเป็นอย่างอื่น  ดังนั้นเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญมาตรานี้คือให้ยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุดเท่านั้น แต่การที่ศาล รัฐธรรมนูญรับคำร้องจากผู้ร้องโดยตรง มาตรา  ๖๘  วรรคสอง  และเห็นว่าการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพของบุคคลตามมาตรา ๖๘  วรรคหนึ่ง  ถือเป็นการตีความที่ขัดต่อเจตนารมณ์ของกฎหมาย เพราะการกระทำของรัฐสภาเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา  ๒๙๑  ซึ่งเป็นอำนาจของรัฐสภาในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติ  รัฐสภามิได้กระทำไปโดยอ้างสิทธิและเสรีภาพ ตามมาตรา  ๖๘ วรรคหนึ่งแต่อย่างใด
๔.    หลักจารีตการปกครองและแนวปฏิบัติที่ผ่านมา  เป็นที่ยุติและยอมรับกันทุกฝ่ายในยุคร่วมสมัยว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจของรัฐสภา  ดังปรากฏในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๓๔  และรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๔๐  ว่าอำนาจการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเป็นของรัฐสภา  โดยจารีตแนวปฏิบัตินี้กลายเป็นบรรทัดฐานของระบบการเมืองร่วมสมัยและกลายเป็น“สัญญาประชาคม”ที่ทุกฝ่ายยอมรับโดยดุษฎีโดยมิเคยปรากฏว่าเกิดข้อโต้แย้ง ถกเถียง หรือการวิพากษ์วิจารณ์แต่ประการใด  แม้ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๔๐ ก็ไม่มีข้อโต้แย้งในเรื่องอำนาจการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ  และเข้าใจตรงกันว่าอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจของรัฐสภาแต่ฝ่ายเดียว  เว้นแต่รัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๕๐ ที่ยกร่างและให้ลงประชามติรับรองหรือไม่รับรองทั้งฉบับ พร้อมสร้างเงื่อนไขบังคับเลือกอันปฏิเสธไม่ได้ว่าหากร่างรัฐธรรนูญ พ.ศ. ๒๕๕๐ไม่ผ่านการประชามติ  คณะรัฐประหารยุคนั้นมีอำนาจหยิบยกรัฐธรรมนูญฉบับใดมาบังคับใช้ก็ได้  ภายใต้ความหวาดกลัวทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีทางเลือกหนทางเดียว คือ ถูกบังคับให้รับร่างรัฐธรรมนูญโดยดุษฎี ซึ่งเป็นบรรยากาศแห่งความกลัวของการทำประชามติ ภายใต้อำนาจคณะรัฐประหาร ซึ่งวิญญูชนย่อมทราบดีว่ามิอาจนำเหตุการณ์อันไม่ปกตินี้มาลบล้าง “สัญญาประชาคม”ในระบอบประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นแล้วได้แต่อย่างใด
๕.    หลักความขัดกันแห่งผลประโยชน์  รัฐธรรมนูญบัญญัติให้รัฐสภามีอำนาจหน้าที่เสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม เพราะอำนาจของรัฐสภาเกี่ยวโยงกับอธิปไตยของประชาชนผ่านตัวแทนที่ประชาชนให้อำนาจผ่านการเลือกตั้ง รัฐสภาจึงยึดโยงกับประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตยมากกว่าศาลรัฐธรรมนูญ  รัฐสภาจึงมีอำนาจเด็ดขาดในแก้ไขเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสถาบันและองค์กรทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจรัฐ รวมทั้งมีอำนาจให้แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญให้ยุบเลิกองค์กรตามรัฐธรรมนูญ เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ เป็นต้น ในกรณีเช่นนี้หากศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจในการวินิจฉัยว่าร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมขัดหรือชอบด้วยรัฐธรรมนูญแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญจะเข้าสู่สถานการณ์ความขัดกันแห่งผลประโยชน์ กล่าวคืออาศัยหลักความเป็นกลางศาลรัฐธรรมนูญย่อมไม่อาจรับคำร้องตามที่มีผู้ยื่นตามมาตรา ๖๘ วรรคสองได้  เพราะศาลรัฐธรรมนูญถือเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงในการวินิจฉัย  ความหมายย้อนกลับเชิงตรรกะ คือศาลไม่มีอำนาจรับคำร้องตามมาตรา ๖๘ วรรคสองเพื่อวินิจฉัยการแก้ไขรัฐธรรมนูญทุกกรณี  ซึ่งสอดคล้องกับเหตุผลที่ได้แสดงมาแล้วใน ๔  ข้อที่ผ่านมาว่า ไม่มีบทบัญญัติมาตราใดตามรัฐธรรมนูญ ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้
๖.    หลักการปฏิบัติตามคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ  มาตรา ๖๘ วรรค สอง บัญญัติว่า“สั่งการให้เลิกการกระทำ” ตามกรณีนี้ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยคำร้องหลังจากที่นายกรัฐมนตรีทูลเกล้าตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๕๐ แล้ว  ถือได้ว่าร่างรัฐธรรรมนูญได้พ้นไปจากรัฐสภาแล้ว  การสั่งให้เลิกการกระทำตามมาตรา ๖๘วรรคสอง  คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจึงไม่มีผลผูกพันใดทั้งต่อนายกรัฐมนตรีและรัฐสภา  และรัฐสภามีหน้าที่รอพระราชวินิจฉัยตามมาตรา ๑๕๑  เท่านั้น

ด้วยเหตุผลที่ยกมานี้  คณะรัฐศาสตร์เพื่อประชาธิปไตย  จึงเรียกร้องให้รัฐสภาปฏิเสธอำนาจการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในคดีดังกล่าว  เพราะศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจรับคำร้องตามมาตรา ๖๘ วรรคสอง  เพราะผู้ถูกร้องมิได้กระทำขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา  ๖๘ วรรคหนึ่ง และให้รัฐสภารอพระราชวินิจฉัยตามมาตรา ๑๕๑  เพื่อปกป้องคุ้มครองและรักษาการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในระบบรัฐสภา

วันที่ ๒๔  พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๖

วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2553

Pi as Universal Constant in Quantum Physics

บทเสนอทางทฤษฎี : ไพ ในฐานะค่าคงที่จักรวาล
(Pi as Universal Constant : a Theoretical Framework Proposal)


บทคัดย่อ

ไพ(pi)สัญลัษณ์ π เป็นค่าคงที่เกิดจากอัตราส่วนระหว่างเส้นรอบวงกับเส้นผ่าูศูนย์กลางของวงกลม ค่าไพปรากฏตัวในฟิสิกส์บ่อยและดูเหมือนจะเป็นมีนัยยะว่า ไพจึงอาจเป็นค่าคงที่สำคัญที่สุดในบรรดาค่าคงที่ของฟิสิกส์ระดับอนุภาคมูลฐาน อาศัยค่าสำคัญยิ่งยวดทางฟิสิกส์คือ 1/137.03599 หรือ the fine-structure constant, สัญลักษณ์แอลฟ่า, α (α = e^2/4πε0hc = e^2/ħc=1/137.03599) ซึ่งนิยมเรียกแอลฟ่าว่า“137”และแนวคิดแบบ Poperian Deductivismจะช่วยให้เราเห็นว่า 137คือสิ่งทั่วไป แล้วย้อนกลับไปพยากรณ์สิ่งเฉพาะคือค่าคงที่สำคัญของฟิสิกส์ที่ปรากฏในปัจจุบันอีกทอดหนึ่ง และกระบวนการนี้จะนำเราไปสู่คำตอบว่า"ไพเป็นค่าคงที่จักรวาล”(pi as universal constant)ในฟิสิกส์ควอนตัม โดยการกำหนดให้ความเร็วแสง(ç)ในฐานะค่าคงที่ตามกระบวนทัศน์ของไอน์สไตน์ ให้มีค่าเท่ากับ π*10^8 ไพเมตร/วินาที ทำให้เราพยากรณ์ได้ว่าประจุพื้นฐาน มีค่าเท่ากับค่าใดค่าหนึ่งต่อไปนี้คือ(1/2π)*10^-19 คูลอมบ์ หรือ (π/2)*10^-19คูลอมบ์เท่านั้น อนึ่ง ไพเมตร คือระยะทางที่แสงเดินทางในสุญญากาศภายในเวลา 1/314159265 วินาที

บทนำ
Theorist Wolfgang Pauli, wasted endless research time trying to multiply pi by other numbers to get 137
เปาลี นักฟิสิกส์ชั้นนำของโลก เจ้าของรางวัลโนเบลและผลงานชื่อ Pauli Exclusion Principle ทุ่มเทและสนใจค้นหาคำตอบเรื่อง 137 ด้วยการพุ่งความสนใจไปที่ค่าไพ โดยการพยายามคูณไพด้วยจำนวนอื่นๆเพื่อให้ได้คำตอบ 137 แม้กระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต เปาลีก็เสียชีวิตที่โรงพยาบาลห้อง 137 ดูเหมือนว่า 137 คือ ลมหายใจเข้าออกของเปาลี และเขาสละเวลาที่เหลือของชีวิตเพื่อพิชิต 137 ให้ได้

ค่าสำคัญยิ่งยวดทางฟิสิกส์คือ 1/137 หรือ the fine-structure constant,สัญลักษณ์แอลฟ่า, α ( α = e2/4πε0hc = e2/ħc=1/137.03599) โดยทั่วไปนิยมเรียกว่า“137”(ซึ่งมาจาก 1/α หรือ α-1 นั่นเอง)
137 เป็นตัวเลขที่ท้าทายนักฟิสิกส์ยุคปัจจุบันเป็นอย่างมาก แต่ในแง่การใช้ประโยชน์นักฟิสิกส์ยังไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์โดยตรงได้ เพราะยังไม่มีใครรู้ความหมายที่แท้จริงของ137 ว่ามันคืออะไร สัมพันธ์กันอย่างไร และจะนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไรในทฤษฎีฟิสิกส์
ขณะที่นักเทววิทยาชาวยิวชื่อ Gershom Scholem มองว่าตัวเลข 137 คือความหมายของคำว่า Cabalaในศาสนายูดาห์ ซึ่งคำนี้เกี่ยวพันกับจักรวาลและพระเจ้า “Did you know that one hundred thirty-seven is the number associated with the Cabala?”
ริชาร์ด ฟิลลิปส์ ไฟน์แมน(Richard Phillips Feynman) กล่าวถึงองค์ความรู้ในทางฟิสิกส์ว่า วิชาฟิสิกส์ยังเข้าไม่ถึงสัจจะดังที่นักฟิสิกส์บางคนกล่าวคำอวดอ้าง(brag) เรายังเข้าไม่ถึงทฤษฎีสสารและพลังงานอย่างแท้จริง สุดท้ายเขาเสนอว่านักฟิสิกส์ควรที่จะเขียนสัญลักษณ์พิเศษไว้ที่ทำงานเพื่อเตือนใจตนเองให้ระลึกอยู่เสมอว่าพวกเขายังไม่รู้อีกมากเท่าใด สาส์นที่อยู่ในสัญลักษณ์ก็ควรเป็นของง่าย สรุปโลกเอาไว้ในคำเดียว หรือเป็นตัวเลข เช่น 137
ไฟน์แมนเป็นนักฟิสิกส์คนหนึ่งที่มีญานทัศนะอย่างลึกซึ้งและกว้างไกลในฟิสิกส์ สิ่งที่เขาแลเห็นว่า 137 คือรหัสลับไขปริศนาจักรวาล และภารกิจยิ่งใหญ่ของนักฟิสิกส์คือการพิชิต 137 จึงจะกล่าวอ้างได้ว่านักฟิสิกส์รู้จักเข้าใจจักรวาลอย่างแท้จริง


ขณะที่เปาลี Wolfgang Pauli นักฟิสิกส์รางวัลโนเบล ชาวออสเตรีย ที่เชื่อสนใจเรื่องของจิตและวัตถุ เขาเชื่อว่ามันมีความสัมพันธ์กันแบบองค์รวม ความเป็นหนึ่งเดียวของสรรพสิ่ง คือแยกสิ่งต่างๆออกจากกันไม่ได้ เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์อิงอาศัยกัน โดยเปาลีร่วมมือกับจุง(Carl Jung)นักจิตวิทยาชาวสวิสเพื่อคาดเดาหาความหมายของ 137ด้วยวิธีการเหนือธรรมดา(an extraordinary quest to understand its significance)ซึ่งน่าจะเป็นวิธีการทางจิตใต้สำนึก สะกดจิต หรือความฝัน และสุดท้ายเปาลีก็น่าจะรู้และเห็นอะไรบางอย่างเกี่ยวกับ 137 เพราะเปาลีพยายามนำค่าไพ ไปคูณกับจำนวนอื่นๆเพื่อให้ได้ค่า 137

เรื่องนี้มันมีเหตุผลของเปาลีที่เราไม่อาจรู้ แต่เปาลีต้องแลเห็นอะไรสักอย่างในความสัมพันธ์ระหว่างไพและ137 เขาจึงพยายามนำไพไปคูณกับค่าอื่นเพื่อให้ได้คำตอบ 137

หรือมีอะไรซุกซ่อนในค่าไพ ที่เปาลีมองเห็นแล้ว แต่พวกเรายังมองไม่เห็น เพียงแต่เปาลียังไม่สามารถพิสูจน์ให้โลกเห็นและยอมรับได้ เพราะเขาด่วนจากไปเสียก่อน

เหตุผลของเปาลีในการพยายามใช้ค่าไพคูณกับจำนวนอื่นๆเพื่อให้ได้มาซึ่ง 137 อาจมีส่วนคล้ายกับญาณทัศนะของนักวิทยาศาสตร์เอกอุคนสำคัญอื่นๆของโลก เช่น เซอร์นิวตัน ที่มีญาณทัศนะแลเห็นธรรมชาติของแสง จึงเสนอว่าแสงคือ อนุภาคเม็ดเล็กๆที่เขาเรียกว่า คอปัสเซิล(corpuscles)
the corpuscular theory of light, set forward by Sir Isaac Newton, says that light is made up of small discrete particles called "corpuscles" (little particles)which travel in straight line with a finite velocity and possess kinetic energy. wave–particle duality.
หรือกรณี ชโรดิงเจอร์(Schrodinger) นักฟิสิกส์รางวัลโนเบล ที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาฮินดู ความเป็นหนึ่งเดียวและต่อเนื่องนำพาเขาไปสู่คำตอบอันสวยงามของสมการ ใน ทฤษฎีคลื่นกลศาสตร์ กรณี ไอน์สไตน์กับกรณีปฏิวัติฟิสิกส์โดยการกำหนดให้ความเร็วแสงเป็นสิ่งสัมบูรณ์ซึ่งอาจสัมพันธ์กับสิ่งที่เขาบอกว่ามีความสุข เวลาคิดว่าเขา “ตกลงมาอย่างอิสระภายใต้แรงโน้มถ่วงโลก” หรือแมกซเวลล์แลเห็นว่าค่าคงที่สนามแม่เหล็กไฟฟ้ามีความใกล้เคียงกับค่าความเร็วแสงที่วัดได้ในขณะนั้น กระทั่งสรุปเป็นวรรคทองแห่งศตวรรษที่19ว่า "แสงเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า" การแลเห็นบรรดาความสัมพันธ์เหล่านี้ต้องอาศัยญาณทัศนะบางอย่างที่ยากอธิบาย ราวกับว่ามุมมองของการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลายเป็นมากกว่าสามัญสำนึกทั่วไปของคนร่วมยุคสมัย แต่เป็นเรื่องเฉพาะบุคคลมากกว่าหลักทั่วไป

นอกจากเปาลี ยังมี Edward Teller นักฟิสิกส์ชาวฮังกาเรียน-อเมริกัน ที่รู้จักกันดีว่าเขาคือบิดาแห่งระเบิดไฮโดรเจน”เขาก็สนใจ 137 และพยายามสร้าง 137 จากค่าสนามโน้มถ่วง

ถ้าเช่นนั้น เปาลีเห็นอะไรในนั้น-ความสัมพันธ์ระหว่างค่าไพและ137-เขาจึงอุทิศชีวิตที่เหลือเพื่อพิชิตค่า 137 ผ่านค่าไพ หรือว่าสองสิ่งนี้-ไพและ137-กำลังนำเราไปสู่คำตอบอื่นที่ยิ่งใหญ่กว่า นั่นคือ การค้นพบค่าคงที่จักรวาลของฟิสิกส์ควอนตัม โดยมีไพในฐานะรากฐานที่มั่นคงของจุดเริ่มต้น วันที่ความฝันการหลอมรวมทุกทฤษฎีเข้าไว้ด้วยกัน ก็จะกลายเป็นความจริงเพียงข้ามคืน

คำถามสำคัญคือ เราอาศัยประโยชน์จาก 137 ได้อย่างไร เพื่อค้นหาและพิสูจน์ว่าไพ คือ ค่าคงที่จักรวาล

เอกภาพของสรรพสิ่ง


แอลฟ่า(α) สัญลักษณ์ของ the fine-structure constant, (dimensionless number, α = e2/4πε0hc = e2/ħc = 1/137.03599) คือจำนวนรวบยอดที่ปราศจากหน่วยวัดทางฟิสิกส์ ช่วยชี้ให้เราเห็นถึงความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆทางฟิสิกส์แบบองค์รวม(holistic)คือสนามแม่เหล็กไฟฟ้า(e) ความเร็วสัมพัทธ์ผ่านความเร็วแสง(c) และกลศาสตร์ควอนตัม(h) พูดง่ายๆก็คือ 137 เป็นสุดยอดแห่งกุญแจเพื่อไขปริศนาองค์ความรู้ระดับสูงของฟิสิกส์ และจักรวาล
ในการทำความเข้าใจความเชื่อมโยงอันซับซ้อนนี้เป็นเรื่องยากมาก เพราะมันเป็นความสัมพันธ์ของแก่นหรือ “เครื่องใน”ของทฤษีทางฟิสิกส์ทั้งหมด แต่ขณะเดียวกันค่าแอลฟ่าเดียวกันนี้กลับช่วยให้เราเห็นว่ามีแสงสว่างรอเราอยู่ที่ปลายอุโมงค์หากเราทำความเข้าใจจักรวาลผ่านค่าแอลฟ่านี้


ความสัมพันธ์ระหว่าง โฟตอนกับอิเลคตรอนคือ ตัวแทนของความสัมพันธ์ที่น่าสนใจ เพราะในยุคเริ่มแรกตามทฤษฎีบิกแบง นั้น ณ อุณหภูมิ 100 พันล้านเคลวิน(Kelvin) เกิดสภาวะที่เรียกว่าสมดุลความร้อน(thermal equilibrium) กล่าวคือ โฟตอน กับอิเลคนตรอนและโพสิตรอน จะเปลี่ยนกลับไปมาได้ดังสมการข้างล่างนี้

\gamma + \gamma \leftrightharpoons \mathrm e^{+} + \mathrm e^{-},

ในยุคแรกของบิกแบงนั้น เป็นยุคที่โฟตอนคืออิเลคตรอน(และโพสิตรอน) อิเลคตรอน(และโพสิตรอน) คือโฟตอน

ดังนั้นภายใต้กระบวนทัศน์เอกภาพของสรรพสิ่ง กล่าวได้ว่า อิเลคตรอนคือ แสงในอีกรูปแบบหนึ่ง อิเลคตรอน คือโฟตอนเดิมที่ปรับตัวเองให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่

ปัจจุบันแสงมีคุณสมบัติที่เรียกว่า the dual nature of light หรือ wave-particle duality และอิเลคตรอนก็มีธรรมชาติแบบแสงนี้ด้วยเหมือนกัน

แต่แนวคิดว่าด้วยเอกภาพของสรรพสิ่ง ยังขยายความถึงความสัมพันธ์ระหว่าง“จิตและสสาร”อีกด้วย ซึ่งเปาลี เป็นนักฟิสิกส์แห่งยุคคนแรกๆที่ให้ความสนใจศึกษาเรื่องนี้มากเป็นพิเศษ โดยส่วนตัวเปาลีเขามีความเชื่อว่าความสัมพันธ์ระหว่างจิตและสสารมีอยู่จริง เขาเห็นว่าเขาสามารถทำให้อุปกรณ์ตรวจวัดที่ละเอียดพังเสียหาย หรือหยุดทำงานได้เพียงแต่เขาอยู่ใกล้ๆบริเวณนั้น ซึ่งเรียกขานกันต่อมาว่า Pauli’s effect

แล้วเปาลีเห็นอะไรในค่าไพ เหตุใดเขาจึงอุทิศชีวิต เพื่อพิชิตค่า 137 โดยคิดว่า 137 เกิดจากองค์ประกอบของค่าไพ หรือ มีค่าไพบรรจุอยู่ใน 137 เป็นเรื่องการคาดเดา แลเห็น หรือว่าญาณทัศนะที่เราไม่อาจเข้าใจ

หากย้อนกลับไปพิจารณา ค่า 137 ที่มาจาก e2/ħc จะเห็นว่าค่าคงที่ลดส่วนของแพลงค์(h) หรือที่เรียกว่าค่าคงที่ของดิแรก(Paul Adrien Maurice Dirac 1902-1984 นักฟิสิกส์ชั้นนำของโลก เจ้าของรางวัลโนเบล) สัญลักษณ์ ħ มีค่าเท่ากับ h/2π จะเห็นได้ว่าใน 137 ก็ยังมีรูปลักษณ์ของ ไพ เข้ามาเกี่ยวข้องผ่านค่าคงที่ของดิแรก ขณะที่ π ในฐานะส่วนหนึ่งของคลื่นและวงกลม

ด้วยเหตุนี้ 137 จะมีคลื่น วงกลม และไพ เป็นองค์ประกอบโดยปริยาย

ที่สำคัญคือ แล้วทำไม π ในฐานะแก่นแกนของวงกลม ต้องมี π เป็นส่วนสำคัญในทฤษฎีส่วนใหญ่ของฟิสิกส์ปัจจุบัน π ซุกซ่อนองค์ความรู้ทางฟิสิกส์อะไรอยู่ในนั้น ดังที่เปลโตเชื่อว่า วงกลมคือ ความสมบูรณ์แบบ และวงกลมคือตัวตนของจักรวาลอันแท้จริง

หรือว่าจริงๆแล้ว π มีความหมายมากที่เราเคยรับรู้ นั่นคือ ค่าไพเป็นองค์ประกอบที่ขาดไม่ได้ในทุกค่าคงที่ของทฤษฎีฟิสิกส์ควอนตัม เพราะค่า π คือ ค่าคงที่จักรวาลนั่นเอง?

มีอะไรซุกซ่อนอยู่ในวงกลมและ π หรือ π คือ ค่าคงที่จักรวาล?

เอกภาพของสรรพสิ่ง กับสิ่งซุกซ่อนในตัวมนุษย์


This life of yours which you are living is not merely apiece of this entire existence, but in a certain sense the whole; only this whole is not so constituted that it can be surveyed in one single glance. This, as we know, is what the Brahmins express in that sacred, mystic formula which is yet really so simple and so clear; tat tvam asi, this is you. Or, again, in such words as “I am in the east and the west, I am above and below, I am this entire world.Erwin Schrodinger
นักปราชญ์ยิ่งใหญ่ในอดีตเชื่อว่า“องค์ความรู้” มีในตัวมนุษย์ด้วย เช่น ดาวินชี(Leonardo Da Vinci) พยายามแกะรหัสความลับของธรรมชาติจากสัดส่วนของมนุษย์ภายใต้ชื่อภาพว่า Vitruvian Man หรือ Proportions of the Human Figure

ดังนั้นหากเราลองไล่สำรวจความสนใจของมนุษย์นับแต่อดีตถึงปัจจุบัน เราอาจค้นพบอะไรบางอย่างที่แปลกประหลาดอย่างมีนัยสำคัญเกี่ยวกับ137 นั่นคือเมื่ออารยธรรมของมนุษย์กล่าวถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือสมบูรณ์แบบแล้วสิ่งที่เป็นตัวแทนหรือสัญลักษณ์ได้ดีที่สุดก็คือ แสง และ และวงกลม

ในสายตาของกวีทั้งหลายมักแลเห็นว่า วงกลมรวมทั้งทรงกลม มีเส้นที่เรียบโค้งไร้ตำหนิ สมบูรณ์ในตัวเอง เรียบง่ายแต่ ลึกลับ มีความสมบูรณ์แบบและเป็นเอกภาพอย่างที่สุด

ธอโร(Henry David Thoreau:1817-1862) กวีชาวอเมริกัน ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดัง ได้กล่าวไว้ในงานชื่อ The Service ว่า“วงกลมนั้นเป็นความลับอันสูงส่งและยิ่งใหญ่ทั้งในแง่ขององค์ความรู้แห่งศาสตร์และศิลป์”

ขณะที่กวีคนอื่นๆ ก็มองเห็นความมหัศจรรย์ของวงกลมเช่นเดียวกัน

นิโคลสัน (Nicolson) กล่าวไว้ในงาน The Breaking of the Circle ว่าวงกลมเป็นสัญลักษณ์ของพระเจ้า และเส้นตรงเป็นสัญลักษณ์ของมนุษย์

เพราะเหตุว่า วงกลมให้นัยยะแห่งความไม่จำกัดและไม่สิ้นสุดจึงเป็นสัญลักษณ์ของพระเจ้า ขณะที่เส้นตรงนั้น จำกัดและสิ้นสุดเป็นสัญลักษณ์ของมนุษย์

ในสังคมกรีกโบราณ มีนักปราชญ์ส่วนหนึ่งที่เชื่อว่า "ความจริง"(Truth or Aletheia ซึ่งหมายถึงการเปิดเผยสิ่งที่ถูกปกปิดเอาไว้)เป็นรูปลักษณ์ของเทพธิดา ซึ่งโปรดปรานปราชญ์ที่ชื่อว่า พาเมนิดีส(Parmenides)มาก และคอยชี้นำทางให้เขาไปสู่ วงกลมสมบูรณ์แบบแห่งความจริง(the perfect circle of Truth)

สำหรับเพลโต(Plato)นั้นเขากล่าวไว้ในงานเขียนชื่อ Timaeus สรุปได้ว่า เมื่อพระเจ้าทรงเริ่มสร้างให้มีการเคลื่อนไหวต่างๆในจักรวาลนั้น พระองค์ทรงกำหนดให้มีรูปทรงแบบทรงกลม ซึ่งมีพื้นผิวและที่เรียบเนียนและไม่มีรอยต่อหรือแตกหัก



รูปเพลโตและอริสโตเติล(เพลโตกำลังทำมือชี้ฟ้า)

เพลโตกล่าวต่อไปอีกว่า “ทรงกลม”(sphere) เป็นสำเนาฉบับสามมิติของวงกลม( three-dimensional countetpart of the circle) เป็น “แบบ” (form)ของการเคลื่อนไหวของแรงแห่งจักรวาล และ เป็นตัวตนของจักรวาลอันแท้จริงด้วย

และเขายังกล่าวว่าต่อไปว่า “ทรงกลม” เป็นรูปลักษณ์แห่งความเป็นไปได้ทุกสิ่งด้วยตัวของมันเอง และนี่เองที่ทำให้ทรงกลมมีความสมบูรณ์แบบ และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

นอกจากนี้ เพลโตเห็นว่า พระเจ้าได้ทรงบรรจุวิญญาณเอาไว้ตรงกลางทรงกลมนี้ด้วย ความเห็นของเพลโตสอดคล้องกับทัศนะของศาสนายิวที่บอกว่าแก่นแกนของวงกลมคือ คาบาลา หรือตัวเลข 137

ขณะเดียวกันความสนใจวงกลม นำมนุษย์ไปสู่ความทะยานอยากพิชิตค่าไพ ในฐานะอัตราส่วนระหว่างเส้นรอบวงกับเส้นผ่าศูนย์กลางของวงกลม กล่าวได้ว่าประวัติศาสตร์สำคัญยิ่งยวดของมนุษย์ตลอด 4000 ปี หากนับแต่ 2000 ก่อน ค.ศ. ชาวบาลิโลน กำหนดให้ค่าไพ เท่ากับ 3เศษ1/8 หรือ3.125

ประวัติศาสตร์ความพยายามพิชิคค่าไพสิ้นสุดลงในปี ค.ศ.1706 เมื่อ William Jones แสดงให้เห็นว่าไพ มีค่าเท่ากับ 3.14159 ซึ่งเป็นการค้นพบราว 300 ปีที่ผ่านมานี้เอง

ประวัติศาสตร์จิตใต้สำนึกรวมหมู่ของมนุษย์ถูกผลักดันให้ผูกพันสนใจแนบแน่นกับแสง วงกลม และค่าไพในฐานะที่เป็นตัวแทน แก่นแกน หรืออัตลักษณ์ของวงกลม

ที่สำคัญคือ แสงมีธรรมชาติเป็นเส้นตรง ขณะเดียวกันแสงสามารถปรากฏตัวเป็นวงกลมสมบูรณ์แบบได้ด้วย ดังนั้นแสงและ π จึงมีความสัมพันธ์ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันมาแต่ครั้งกำเนิดจักรวาล

ขณะเดียวกันมนุษย์ในฐานะพัฒนาสูงสุดของแสงในจักรวาล ที่กลายเป็นสิ่งมีชีวิตและวิญญาณมนุษยก็น่าจะมีเนื้อหาของแสงติดตัวมาในบางลักษณะที่ยังหลงเหลืออยู่ ที่อาจโชคดีหากเราค้นพบ เช่น แสงอาจปรากฏตัวใน DNA ผ่่านค่า pi



เปรียบเทียบกับค่า pi ในอนุกรมของ Wallis ที่มีโครงสร้างสัมพันธ์กับดีเอ็นเอราวกับฝาแฝด



แม้กระทั่งจินตการของมนุษย์อย่าง คาร์ล ซาแกน (Carl Sagan)ผู้แต่งนิยายเรื่อง "คอนแทค" (Contact)ก็พยายามคิดถึงเวลาที่นักวิทยาศาสตร์บนโลกสามารถแก้ค่า pi เพื่อค้นสารที่ซ่อนอยู่ในสิ่งมีชีวิต ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการก้าวกระโดดสู่การรับรู้ในเอกภพที่ยิ่งใหญ่

ขณะที่ความพยายามล่าสุดของนักวิทยาศาสตร์ด้านคอมพิวเตอร์ชาวญี่ปุ่นเมื่อปี พ.ศ.2545 พบจำนวนของพาย 1.24 ล้านล้านตำแหน่ง แม้ว่านักดาราศาสตร์ฟิสิกส์จะไม่ต้องการตัวเลขที่แม่นยำมากไปกว่า 10-15 ตำแหน่ง แต่นักคณิตศาสตร์เชื่อว่าหากสามารถหารูปแบบของพายได้ก็จะนำไปสู่การค้นพบที่ยิ่งใหญ่ในความเข้าใจเกี่ยวกับเอกภพของเราได้ดังนั้น pi จึงอาจเป็นเนื้อหาติดตัวของสรรพสิ่งในจักรวาลนี้

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อนุภาคพื้นฐานในจักรวาลเช่น โฟตอนและอิเลคตรอน ซึ่งมีทวิภาวะของคลื่นและอนุภาค ที่มีความสัมพันธ์โดยตรงกับคลื่น และวงกลม ก็จะต้องมีค่าไพ เป็นองค์ประกอบพื้นฐานในบางลักษณะอย่างแน่นอน

Pauliในฐานะจุดเริ่มต้นการศึกษา 137

จิตกับสสารเคยเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมาก่อนทีวิทยาศาตร์กลไกแบบกลไก-ลดส่วน-แยกส่วนมาแทนที่โดยอิทธิพลทางความคิดของ กาลิเลโอ นิวตัน และเดการ์ตในคริสต์ศตวรรษที่ 17

ในกระบวนทัศน์แบบองค์รวมนี้ สิ่งต่างๆจะเชื่อมโยงกัน แยกออกจากันไม่ได้ ดังนั้นหากสรรพสิ่งสัมพันธ์กันแล้ว 137 ก็ควรปรากฏในทุกหนแห่งของฟิสิกส์ควอนตัม เช่น เดียวกับไพ ตัวของมันก็ควรปรากฏในทุกแห่งที่มีแสงเข้าไปเกี่ยวข้อง และเนื่องจากแสงเป็นปฐมบทแห่งการกำเนิดจากวาล ดังนั้น ก็ควรมีรหัสไพในดีเอ็นเอของมนุษย์ด้วย

หากจักรวาลกำเนิดจากแสง สรรพสิ่งทั้งมีชีวิตและไม่มีชีวิต ก็ควรมีส่วนของค่าไพในแบบฉบับของตนเอง เพราะไพ ก็คือแก่นพื้นฐานของสรรพสิ่ง โดยที่เรารู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม

หลักฐานเชิงประจักษ์คือ อนุภาคพื้นฐานที่ถูกจัดประเภทเป็นเฟอร์เมียน และโบซอน มีธรรมชาติสำคัญคือ คลื่น(wave function)กับการหมุนภายใน(intrinsic spin)เท่านั้น

ทั้งคลื่น และการหมุนของอนุภาคที่เสมือนเป็นจุดวงกลม ทั้งสองสิ่งนี้คือการกล่าวถึงไพ วงกลม และคลื่น นั่นเอง

ไพ วงกลม คลื่น สัมพันธ์กันอย่างไรหรือ?

เอกภาพของ ไพ วงกลม คลื่น

The unity and continuity of Vedanta are reflected in the unity and continuity of wave mechanics. In 1925, the world view of physics was a model of a great machine composed of separable interacting material particles. During the next few years, Schrodinger and Heisenberg and their followers created a universe based on superimposed inseparable waves of probability amplitudes. This new view would be entirely consistent with the Vedantic concept of All in One.Erwin Schrodinger
ไพ วงกลม คลื่น กลายเป็นสิ่งพื้นฐานที่มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดผ่านสิ่งที่เรียกว่า เรเดียน(radian)

ความจริงการค้นพบเรเดียน เป็นการค้นพบธรรมดาที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดเรื่องหนึ่งของมนุษย์(ในทัศนะของผม)เพราะเรเดียน เป็นหน่วยธรรมชาติที่สุดที่ไม่ต้องการหน่วยวัดใดๆ

เรเดียน คือการวัดมุมของวงกลมที่เกิดจากการกำหนดให้ส่วนโค้งของวงกลมยาวเท่ากับรัศมีของวงกลม ดังนั้นวงกลม 360 องศา เท่ากับ 2ไพเรเดียนเสมอ และการวัดแบบเรเดียนทำให้วงกลมกับคลื่นเป็นตัวแทนของกันและกัน(ดูรูปแบบกราฟฟิก)



ขณะเดียวกัน การนำแฟคเตอร์ 2π มาเป็นองค์ประกอบหนึ่งของการเคลื่อนที่แบบคลื่น ถือเป็นการแปลงรูปแบบของการเคลื่อนที่จากคลื่นให้เป็นวงกลม โดยความสูงของคลื่นก็คือรัศมีของวงกลมนั่นเอง

เมื่อจุดบนวงกลม เคลื่อนที่ครบ1รอบ จะได้คลื่นที่เคลื่อนที่ครบ 1 รอบด้วย ดังนั้นความยาวคลื่น 1รอบจะยาวเท่ากับ 2π เรเดียนเสมอ

ย้อนกลับไปที่ดิแรก การที่เขาเสนอค่าคงที่ของแพลงค์แบบย่อส่วน ซึ่งเป็นที่นิยมมากในฟิสิกส์ควอนตัมคือ ħ = h/2π ซึ่งเรียกว่า “ค่าคงที่ของดิแรก”

ค่าคงที่ของดิแรก คือ การแสดงพจน์ความสูงของคลื่นในรูปของรัศมีวงกลม มีผลให้วงกลมกลายเป็นส่วนหนึ่งของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในฟิสิกส์ควอนตัมโดยปริยาย

ดังนั้น 2π จึงเป็นแฟคเตอร์ที่เชื่อมโยงรัศมีวงกลม เส้นรอบวง ความสูงของคลื่นและความยาวคลื่นเข้าไว้ด้วยกัน

ค่าคงที่ของดิแรก อาจเป็นสมการพื้นๆในทัศนะของนักฟิสิกส์จำนวนมาก แต่หากมองให้ลึกซึ้งมันคือหน่วยวัดที่เป็นธรรมชาติที่สุด และ มหัศจรรย์ที่สุดเพราะมันทำให้วงกลมกับคลื่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน(ลองเปรียบเทียบกับความพยายามทำวงกลมให้เป็นสี่เหลี่ยม sqaring the circleที่ปรากฏอยู่ในพีระมิด แล้วนับว่าดิแรกมีมุมมองที่ลึกซึ้งและกว้างไกลมาก)

ค่าคงที่ของดิแรก จึงเป็นหลักฐานยืนยันเอกภาพของสรรพสิ่ง เช่น ไพ วงกลม และคลื่น มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด นี่คือการค้นพบยิ่งใหญ่แห่งยุคสมัย เพราะดิแรกกำลังนำเราไปพบคำตอบที่ยิ่งใหญ่กว่าค่าคงที่ของดิแรก แต่คือ “คาบาลา”ที่เรียกว่า 137

137 กับ ไพ ในฐานะค่าคงที่จักรวาล


นักฟิสิกส์ชั้นนำของโลกต่างประหลาดใจกับความหมายของ alpha หรือที่เรียกง่ายๆว่า 137

ดังตัวอย่างที่ยกมานี้

"If alpha [the fine structure constant] were bigger than it really is, we should not be able to distinguish matter from ether [the vacuum, nothingness], and our task to disentangle the natural laws would be hopelessly difficult. The fact however that alpha has just its value 1/137 is certainly no chance but itself a law of nature. It is clear that the explanation of this number must be the central problem of natural philosophy." Max Born, Arthur I. Miller(2009), Deciphering the Cosmic Number: The Strange Friendship of Wolfgang Pauli and Carl Jung, W.W. Norton & Co., p. 253

หรือเมื่อไฟน์แมนกล่าวถึง ความลี้ลับของ 137 ดังนี้

There is a most profound and beautiful question associated with the observed coupling constant.. Immediately you would like to know where this number for a coupling comes from: is it related to pi or perhaps to the base of natural logarithms? Nobody knows. It's one of the greatest damn mysteries of physics: a magic number that comes to us with no understanding by man. You might say the "hand of God" wrote that number, and "we don't know how He pushed his pencil." We know what kind of a dance to do experimentally to measure this number very accurately, but we don't know what kind of dance to do on the computer to make this number come out, without putting it in secretly! ” Richard P. Feynman (1985), QED: The Strange Theory of Light and Matter, Princeton University Press, p.129

พิจารณาจากสมการ fine structure constant จะเห็นว่า 137 เกิดจากค่าคงที่ทางฟิสิกส์ 3 ตัวกระทำต่อกันทางคณิตศาสตร์ คือ ประจุไฟฟ้า ค่าคงที่ของดิแรก และค่าความเร็วแสง

นั่นคือเราจะเห็นความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นประจุไฟฟ้า(และแม่เหล็ก) กลศาสตร์ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า(ที่สัมพันธ์กับวงกลมผ่านค่า 2 ไพ) และความเร็วเชิงสัมพันพัทธ์ผ่านค่าคงที่ของความเร็วแสง

จากสมการของ 137 นี้ จุดเด่นสำคัญที่สุด คือค่าคงที่ของดิแรกที่วัดค่าคงที่ของแพลงค์ในรูปพลังงานผ่านเรเดียน นั่นคือ การแปลงการเคลื่อนที่แบบคลื่นให้สัมพันธ์กับรัศมีของวงกลมผ่านค่าไพ นั่นเอง

สมการ 137 ได้แสดงความสัมพันธ์ของปรากฏการณ์ที่ชี้วัด ความเข้มแข็งของแรงที่กระทำกันของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า(the strength of electromagnetic interaction) เมื่อประจุอิเลคตรอนที่เคลื่อนที่จึงเป็นสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่...สัมพันธ์กับความเป็นคลื่นและไพอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้นเมื่อแสงเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอย่างหนึ่ง แสงและอิเลคตรอนก็มีธรรมชาติร่วมกันผ่านความเป็นคลื่น วงกลม และ ไพ

ดังนั้นกล่าวได้ว่าค่าไพ ก็คือแก่นแกนกลางของ 137 นั่นเอง ซึ่งไฟน์แมนเคยกล่าวอย่างไม่แน่ใจนักว่ามันอาจจะเกี่ยวกับค่าไพหรือไม่ก็ค่าลอกการิธึมธรรมชาติก็เป็นได้(is it related to pi or perhaps to the base of natural logarithms? Nobody knows)

หลักทั่วไป กับ สิ่งเฉพาะ

The Popperian deductivist believes that science moves from the general to the particulars and back to the general-a precess without end. (whereas the inductivist believes that science moves from the particulars to the general and that the truth of the particular data is transmitted to the general theory)

ปอปเปอร์(Sir Karl Raimund Popper 1902 –1994 was an Austrian and British philosopher and a professor at the London School of Economics. He is widely regarded as one of the greatest philosophers of science of the 20th century)เชื่อว่าในการเข้าถึงความจริงทางฟิสิกส์ ควรอาศัยการนิรนัยจากทฤษฎีหรือผลการทดลองที่มีอยู่เพื่อเข้าใจความจริงทางวิทยาศาสตร์ นั่นคือ เมื่อการทดลองจากสิ่งเฉพาะ นำเราไปสู่ทฤษฎีหรือสิ่งทั่วไปแล้ว ก็ต้องย้อนกลับไปหาสิ่งเฉพาะอีก ทำซ้ำกลับไปมาแบบนี้ ช่วยให้เราเข้าใจฟิสิกส์มากขึ้น

สรุปวิธีการในการค้นหาความจริงของปอปเปอร์คือ อุปมาเหมือนศาสตร์ที่ถูกลากจูงโดยม้า 2 ตัว ตัวแรกคือ ม้าแห่งการทดลองเชิงประจักษ์(experimental horse) เป็นม้าที่แข็งขัน น่าเชื่อถือแต่ตาบอด(strong, but blind )ส่วนม้าเชิงทฤษฎี(theoretical horse )นั้น สายตามองเห็น แต่ไม่มีกำลังจะลากจูง (can see, but it cannot pull.

เช่น กรณี Weber & Kohlrausch เคยทดลองวัดอัตราส่วนสนามไฟฟ้า/สนามแม่เหล็ก ตีพิมพ์ในปี ค.ศ.1856 พบค่าคงที่เท่ากับ 310,470 km/s ต่อมาปี ค.ศ.1864 แม็กเวลล์(James Clerk Maxwell 1831-1879) อ้างค่าความเร็วแสง 2 ค่า คือ ค่าของฟิโช ซึ่งวัดความเร็วแสงในปี ค.ศ. 1849 ได้ 314,000 กม.วินาที และค่าของ Foucault ที่บันทึกความเร็วแสงในปี ค.ศ.1862 ได้เท่ากับ 298,000 km/s. แล้วนำมาเปรียบเทียบกับค่าคงที่สนามแม่เหล็กไฟฟ้าของเวบเบอร์(310,470 km/s) จากนั้นแม็กเวลล์ จึงยั่วคำถามว่า “แสงคือ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าใช่หรือไม่”(ขณะที่ต่อมาในปี ค.ศ.1907 Rosa and Dorsey วัดความเร็วแสงด้วยวิธีการสนามแม่เหล็กไฟฟ้าแบบเวบเบอร์ได้เท่ากับ 299,788 km/s ซึ่งก็คือ ค่าความเร็วแสงที่ใกล้เคียงกับค่าที่ยอมรับในปัจจุบันคือ 299,792 km/sนั่นเอง)

นั่นคือ แม็กเวลล์ อาศัยผลการทดลองจากการวัด 2 แบบ คือ อัตราส่วนสนามไฟฟ้ากับสนามแม่เหล็ก กับความเร็วแสงที่วัดได้บนพื้นโลก แม็กเวลล์อาศัยม้าตาดีแบบแนวคิดของปอปเปอร์จึงแลเห็นว่า แสงคือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในที่สุด

ขณะที่องค์ความรู้ฟิสิกส์ในปัจจุบัน บรรยายให้เราเห็นว่าจักรวาลนี้มี เพียงเฟอร์เมียนและโบซอน ความแตกต่างของ 2 สิ่งนี้ กล่าวคือ เส้นแบ่งระหว่างอนุภาคพื้นฐานกับพลังงาน มีเพียงรูปแบบของคลื่นและการหมุนภายในเท่านั้น ภายใต้กรอบจักรวาลนี้เป็นหนึ่งเดียวกัน ดังนั้น ความเกี่ยวโยงกันระหว่างลักษณะของแสง ความเร็วแสง และประจุอิเลคตรอน หากเริ่มต้นจากค่าไพ ค่าคงที่อื่นในระดับควอนตัม ก็ต้องเป็นอนุพันธ์ของไพด้วย

อาศัยแนวคิดปอปเปอร์ จะได้ว่า 137 เป็นกรอบใหญ่ แล้วเราจะย้อนกลับไปหาความสัมพันธ์กับสิ่งเล็ก เช่น ค่าประจุพื้นฐาน โดยอาศัยการนิรนัยจากผลการทดลอง แล้วย้อนกลับไปหาหลักทั่วไปใหม่ เพื่อหาค่าที่ถูกต้องของประจุพื้นฐาน เป็นต้น

นั่น คือในอุดมคติแล้ว เราสามารถหาค่าที่แท้จริงของประจุพื้นฐาน รวมถึงค่าคงที่ของแพลงค์ในฐานะอนุพันธ์ของความเร็วแสงและประจุพื้นฐานภายใต้กรอบ 137 ได้

แล้วเหตุใด ต้องเริ่มต้นจากประจุพื้นฐานในฐานะจุดเริ่มต้นการ ประยุกต์ค่าไพในฐานค่าคงที่จักรวาลด้วย?

ประจุอิเลคตรอน ในฐานะค่าคงที่
Hawking is a bold thinker. He is fare more willing than most physicists to take off in radical new directions, if those directions smell right. The absolute horizon smelled right to him, so despite its radical nature, he embraced it, and his embrace paid off.” (Thorne, 1994:419)
ดิแรก นักฟิสิกส์รางวัลโนเบลที่โดดเด่นที่สุดคนหนึ่งของศตวรรษที่ยี่สิบ เห็นว่าประจุพื้นฐานคือค่าคงที่ฟิสิกส์ เช่นเดียวกับความเร็วแสง โดยที่ประชุม First Solvay Congression ในปี 1911 นักฟิสิกส์ชั้นนำของโลกเช่น Planck, Dirac, Sommerfeld, and Bronstein เห็นพ้องต้องกันว่า จากสูตรของ fine-structure constant เป็นไปไม่ได้ที่ค่าคงที่ฟิสิกส์ทั้ง 3 คือ c, h, and e จะเป็นค่าคงที่พื้นฐานในเวลาเดียวกัน ต้องมีเพียง 2 ใน3 ตัวเท่านั้นที่จะเป็นค่าคงที่พื้นฐาน ส่วนอีก1ตัวที่เหลือ สามารถเขียนแสดงผ่านอีก 2 ตัวที่เหลือได้

โดย Sommerfeld และ Bronstein เสนอว่า ความเร็วแสง และค่าคงที่ของแพลงค์เท่านั้นเป็นหน่วยวัดพื้นฐาน ส่วนประจุอิเลคตรอนนั้น เขียนในรูปของ c h ได้

แพลงค์เสนอว่าเป็นไปได้ 2 แนวทางคือค่าคงที่ของแพลงค์ สามารถเขียนในรูปของ e และ cได้ และ e ก็สามารถเขียนในรูปของ h and cได้
ขณะที่ ดิแรกเห็นต่างออกไป คือเขาเป็นคนเดียวและคนแรกที่เชื่อว่า ดิแรกเชื่อว่า ความเร็วแสง และประจุอนุภาค คือ ค่าคงที่ ขณะที่ค่าคงที่ของแพลงค์ สามารถเขียนในรูปของ c และ e ได้

ความเห็นต่างของดิแรก มีความน่าสนใจมากในทัศนะของผม เพราะหากพิจารณาอิเลคตรอนภายใต้กระบวนทัศน์เอกภาพของสรรพสิ่ง ที่อิเลคตรอนคือโฟตอนมาก่อนในยุคต้นของจักรวาลตามทฤษฎีบิ๊กแบง อิเลคตรอนที่หลงเหลือในปัจจุบันก็คือ แสงญาติสนิทของแสงนั่นเอง

คุณสมบัติอิเลคตรอนที่เหมือนกับแสงในยุคปัจจุบันคือ ความเป็นทวิภาวะ นั่นเอง แต่อิเลคตรอนมีประจุไฟฟ้าขณะที่แสงไม่มี ดังนั้นสรุปต่อไปตามทฤษฎีสมมาตรได้ว่า อิเลคตรอนหรือเฟอร์เมียนคือ หุ้นส่วนของ โฟตอนหรือโบซอนนั่นเอง

อาศัยกระบวนทัศน์แบบองค์รวม ประกอบค่า137 ที่สรุปว่าคลื่น วงกลม และไพเป็นสิ่งที่สัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกัน

นอกจากนี้ พฤติกรรมอันน่าพิศวงของอิเลคตรอนเมื่อเคลื่อนที่รอบนิวเคลียส ตัวของมันจะประพฤติตนเป็น “คลื่นนิ่ง”ขณะวิ่งวนเป็นวงกลมรอบนิวเคลียสของอะตอม การที่อิเลคตรอนประพฤติตนเป็นคลื่นนิ่ง ซึ่งมันจะมีความเสถียรภาพก็ต่อเมื่อความยาวเส้นรอบวงของอิเล็กตรอนที่เคลื่อนที่จะมีค่าความยาวเท่ากับจำนวนเต็มของความยาวคลื่น กล่าวได้ว่านี่คือกลไกธรรมดาที่เป็นความลับยิ่งใหญ่อีกอย่างหนึ่งของจักรวาลที่สามารถอธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง วงกลม คลื่น และไพ ผ่านพฤติกรรมของอิเลคตรอนที่อยู่รอบนิวเคลียส

ดังนั้น ธรรมชาติของประจุพื้นฐานก็น่าจะมีเนื้อหาติดตัวดังที่ ดิแรกแลเห็น คือ ประจุอิเลคตอนเป็นค่าพื้นฐานอีกค่าหนึ่งนอกจากค่าความเร็วแสง ประจุอิเลคตรอนไม่น่าจะเป็นอนุพันธ์ค่าคงที่ของแพลงค์แต่อย่างใด

Assumptions
สมมติฐาน
ก. ถ้าไพเป็นค่าคงที่จักรวาลแล้วประจุ 1 อิเลคตรอนมีค่าเท่ากับ 1/2π*10-19 คูลอมบ์ หรือ
ข. ถ้าไพเป็นค่าคงที่จักรวาลแล้วประจุ 1 อิเลคตรอนมีค่าเท่ากับ π/2*10-19 คูลอมบ์

ก. ประจุ 1 อิเลคตรอนมีค่าเท่ากับ 1/2pi*10-19คูลอมบ์
การที่ความเร็วแสงได้ปรากฏตัวอย่างยิ่งใหญ่ในสมการอันลือลั่นของไอน์สไตน์ในฐานะค่าคงที่ของสมการ E=mc^2 เมื่อ c คือ ความเร็วแสง จากสมการนี้มีนัยว่าค่าคงที่น่าจะมีความหมายบางประการที่ซุกซ่อนอยู่ เป็นความหมายที่ต้องอธิบายด้วยภาษาภาพจึงจะเข้าใจเห็นกระจ่างระหว่างความสัมพันธ์ของเฟอร์เมียน(มวล)และโฟตอน(แสง)ในฐานะโบซอน

ค่าคงที่หรือสัมประสิทธิ์ในสมการทางฟิสิกส์มักมีความหมาย แม้ว่าเราไม่เคยรู้ถึงที่มาเลยก็ตาม เช่น การเคลื่อนที่แบบออสซิลเลชั่น หรือการเคลื่อนที่แบบกลับไปมาของการสวิงลูกตุ้ม ฯลฯ ก็มีสัมประสิทธิ์เป็นค่าคงที่ค่าหนึ่งที่เกิดจากผลของความสัมพันธ์ระหว่างคาบการเคลื่อนที่กับความยาวและสนามโน้มถ่วงตามสมการT=6.283SQR(l/g)ผลการทดลองจะออกมาเสมอว่า ค่าคงที่ของคาบ คือ ตัวเลขราว 6.2+- ขึ้นอยู่กับความละเอียดของอุปกรณ์การทดลอง และความแม่นยำของเทคนิคการวัด ค่าคงที่นี้จะบอกเป็นนัยแก่เราว่าค่า 6.2...กว่านี้ น่าจะเป็นค่า 2π มากกว่าค่าอื่นๆ แม้ว่าเราจะไม่เคยรู้มาก่อนว่าทฤษฎีนี้เกี่ยวข้องกับ 2π ตามสมการก็ตาม นั่นคือทุกๆค่าคงที่ในสมการทางฟิสิกส์มีความหมายบางประการซุกซ่อนอยู่เสมอ

กรณีค่าความเร็วแสงในสมการของไอน์สไตน์ E=mc2 เราเห็นว่า ทำไมต้อง c2 เหตุใดความเร็วแสงเกี่ยวเนื่องกับมวลและพลังงาน หรือความเร็วแสงคือสิ่งที่กุมความลับและไขปริศนาจักรวาลได้ และเหตุใดผลจึงออกมาเป็นกำลัง 2 เท่านั้น แต่ไม่เป็นอย่างอื่น กำลังสองนี้บ่งบอกนัยความหมายอะไรที่มากกว่าตัวเลขคณิตศาสตร์ยกำลังสองหรือไม่ ฯลฯ

จากสมการของไอน์สไตน์ E=mc^2 กล่าวอีกนัยหนึ่ง ได้ว่ารหัสนัยค่าคงที่ของความเร็วแสงในสมการของไอน์สไตน์ ก็คือ

(1) คุณสมบัติบางประการของแสง ก็คือ ตัวกลาง(หรือ ค่าคงที่)ในการเปลี่ยนสัตภาวะระหว่างมวลและพลังงาน

(2) ความเร็วแสงคือ ความเร็วลี้ลับที่เป็นเส้นแบ่งระหว่างสัตภาวะต่างๆของอนุภาค เช่น มวล กับพลังงาน

กำหนดให้ ความเร็วแสง(ç)เท่ากับ π*10^8φ /s โดย φ คือไพเมตร(pimetre) ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น จะมีดังนี้

(1)หน่วยวัดความยาวต้องเปลี่ยนไป คือ เปลี่ยนจากเดิมหน่วยวัดเมตร กลายเป็นหน่วยใหม่ สมมติว่าหน่วยวัดใหม่ชื่อว่าไพเมตร(pimetre)สัญลักษณ์ φ โดยหน่วยวัดไพเมตร คือระยะทางที่แสงเดินทางผ่านสุญญากาศในเวลา 1/314159265 วินาที ซึ่ง φ จะมีความยาวประมาณ 0.954m นั่นคือ φ จะมีความยาวอยู่ระหว่าง 1 หลากับ 1 เมตร เขียนในรูปสมการ คือ 1φ=0.954m และจากหน่วยวัด φ นี้ จะทำให้แสงจะเดินทางด้วยความเร็ว π*10^8 φ/s

(2)ในการวัดความเร็วแสง ก็จะระบุได้ว่าใครมีเครื่องมือวัดความเร็วแสงที่ละเอียดกว่ากัน เช่น มีผลการวัดความเร็วแสง 3 ค่า คือ 3.14*10^8 φ/s, 3.141*10^8 φ/s, 3.14159265*10^8 φ/s แสดงว่าความเร็วแสงลำดับสุดท้ายเป็นค่าความเร็วแสง ç ที่ถูกต้องมากที่สุด เพราะวัดได้ใกล้เคียงกับค่า π มากที่สุด นั่นคือ หน่วยวัดระยะทางจะถูกกำหนดโดยความเร็วแสงที่เป็นค่าคงที่ค่าหนึ่ง โดยจัดให้หน่วยวัดเวลาเป็นวินาทีคงเดิม

(3) ค่าคงที่สำคัญในฟิสิกส์ควอนตัม(quantum physics)ซึ่งมีค่าคงที่ h π e และ c ก็จะถูกลดทอนลง หรือหลอมรวมให้เหลือเพียง 3 ตัวคือ h π และ e เท่านั้น เพราะค่าความเร็วแสงถูกแสงในรูปของค่า π ได้แล้ว คือ ç = π*10^8 φ/s นั่นเอง

(4)เมื่อค่าคงที่ในฟิสิกส์ควอนตัมเหลือเพียง 3 ตัว คือ h eและ π อาศัยแนวคิดของดิแรกที่เชื่อว่าความเร็วแสง และประจุพื้นฐานคือ ค่าคงที่พื้นฐานเท่านั้น ผนวกกับความช่วยเหลือของ 137 และกระบวนทัศน์เอกภาพของสรรพสิ่งที่โฟตอนและอิเลคตรอนเคยเปลี่ยนกลับไปมาได้ เราพยากรณ์ต่อไปได้ว่า ค่า e ก็ควรมีค่าเป็นจำนวนเท่าของค่าไพด้วย

(5) เนื่องจาก 1 คูลอมบ์คือประจุจำนวน 6.24*10^18 e หรือ 2π คือ 6.28*10^18e) ดังนั้นประจุพื้นฐานจึงมีค่าเท่ากับ(1/2π)*10^-19 คูลอมบ์ หรือ1.59*10^-19 คูลอมบ์ ซึ่งค่าที่ได้นี้แตกต่างกับค่าปัจจุบัน(1.60*10^-19คูลอมบ์) เพียง 0.0106*10^-19คูลอมบ์ เท่านั้น

(6) จำนวน 6.28*10^18 e นี้สอดคล้องกับแนวคิดที่ว่าเมื่อ ค่าความเร็วแสงç= π*10^8 φ/s จะทำหน่วยวัดสั้นลง ทำให้ค่าประจุ 1 คูลอม์เพิ่มมากขึ้นคือ จากเดิม 6.24*10^18 e เป็น 6.28*10^18 e ทำให้ค่าประจุพื้นฐานน่าจะลดลงในอัตราส่วนที่แน่นอนจากเดิม 1.602*10^-19 คูลอมบ์ เป็น 1.59*10^-19 คูลอมบ์ หรือ (1/2π)*10^-19 คูลอมบ์ ในที่สุด

ภายใต้หลักเอกภาพของสรรพสิ่ง ที่มองว่า อิเลคตรอน+โพสิตรอน เท่ากับ โฟตอน ดังนั้นในกาลเก่า แสงก็คืออิเลคตรอน แต่ในกาลปัจจุบันอิเลคตรอนก็คือแสงในอีกรูปแบบหนึ่งแต่มีสิ่งแวดล้อมที่ต่างกับโฟตอน แต่อิเลคตรอนและแสง ก็ยังมีความสัมพันธ์กันอยู่ คือ อิเลคตรอนดูดกลืนและคายแสงได้ และจากข้อมูลเชิงประจักษ์ที่อิเลคตรอนเป็นเฟอร์เมียนมีการหมุน แบบครึ่ง ขณะที่แสงเป็นโบซอน มีการหมุนแบบจำนวนเต็ม ดังนั้น อิเลคคตรอนกับแสงก็คือหุ้นส่วนของกันและกันอยู่แต่มีธรรมชาติบางประการแตกต่างกันออกไป

ดังนั้นการนิรนัยโดยอาศัยกระบวนทัศน์แบบปอปเปอร์ ทำให้ประจุอิเลคตรอนมีค่าเท่ากับ 1/2π มีความเป็นไปได้ภายใต้แนวคิด เอกภาพของสรรพสิ่งที่ต่อเนื่อง เชื่อมโยงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

เพราะหากประจุพื้นฐานมีค่าเท่ากับ 1/2π เราจะสังเกตพบว่าค่าคงที่ของดิแรก ที่เกิดจากการลดส่วนค่าคงที่ของแพลงค์ด้วยสัมประสิทธิ์ 1/2π ซึ่งมีรูปการณ์เหมือนการนำค่าคงที่ของแพลงค์ หารด้วยประจุพื้นฐานนั่นเอง

นอกจากนี้ ลักษณะของประจุพื้นฐานที่มีค่าเท่ากับ 1/2π เมื่อนำไปรวมกับปฏิภาคสสาร เช่น อิเลคตรอน+โพสิตรอน การหมุนในทิศทางตรงข้าม ทำให้หักล้างกันกลายเป็นโฟตอน ดังนี้ 1/2π+(-1/2π)=0 electric charge ซึ่งก็คือ โฟตอน แต่หากพิจารณาจากกรอบของ 2 fermions รวมกัน ซึ่งเป็น antisymmetric wavefunction 1/2π+1/2π= 1/π ซึ่ง symmetric wavefunction or Bosons ดังนั้น 1/2π คือเฟอร์เมียนคู่หุ้นส่วนสำเนาของโบซอน1/π ตามกรอบ supersymmetry or SUSYโดยมี โดยมี 1/π เป็นแฟคเตอร์สำคัญ

เมื่อพิจารณาค่าคงที่ของแพลงค์ กำหนดให้ c= π*108 φ/s, e=(1/2π)*10-19คูลอมบ์ แล้ว ค่าคงที่ของแพลงค์ในรูปของ 137 จะมีค่าดังนี้

เนื่องจาก α = e^2/4πε0hc = e^2/ħc=1/137.03599

ดังนั้น h=137.03599/2π2หรือ h= 6.94*10-34 φ2kg/s(เปรียบเทียบกับค่าปัจจุบัน 6.62606896(33)*10-34J·s หรือ m2kg/s)

ดังนั้นกรณีที่หน่วยวัดระยะทางเปลี่ยนไปจากเดิม(เมตร)เป็นหน่วยวัดใหม่(ไพเมตร)ที่มีความยาวลดลง เมื่อระยะทางเท่าเดิมในหน่วยเมตร ทำให้ค่าของ h ควรเพิ่มขึ้นตามสัดส่วนโดยอัตโนมัติ

ความหมายของ h=137.03599/2π^2 เป็นรูปลักษณ์ที่น่าสนใจ ซึ่งน่าจะอธิบายเป็นรูปภาพของคลื่นและวงกลมได้ เพราะ2π คือ ความยาวคลื่น 1 รอบขณะที่ไพอีกตัวอาจเป็นบางสิ่ง หรือ π^2 อาจหมายถึง พื้นที่ของสนามควอนตัมก็ได้ ซึ่งจะได้รับการวิพากษ์ต่อไปในอนาคต

อนึ่ง ประจุพื้นฐานเมื่อแสดงผ่านสมการของแอลฟ่าคือ α = e^2/4πε0hc เราจะเห็นว่า e มีนัยเกี่ยวเนื่องด้วยไพผ่าน"รากที่สองของ4ไพ"โดยปริยายอยู่แล้ว แต่เนื่องจากสมการนี้มีค่าคงที่หลัก 3 ตัวคือ c h และ e ขณะที่ h ไม่อาจเป็นหน่วยพื้นฐานตามแนวคิดของดิแรกได้ ดังนั้นค่า e ต้องได้รับการพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วยว่าค่า eที่ถูกต้องนั้นควรมีค่าในอุดมคติเท่ากับเท่าใด ซึ่งบทความนี้ก็เป็นเพียงกรอบทฤษฎีหนึ่งในการพยากรณ์ค่าของประจุพื้นฐาน

สรุป

สมการแอลฟ่า หรือ 1/137 แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ควอนตัม และความเร็วสัมพัทธ์โดยมีความเร็วแสงเป็นค่าคงตัวที่หนึ่ง เมื่อกำหนดความเร็วแสงให้สัมพันธ์กับค่าไพ เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นทำให้ไพกลายมีฐานะเป็นค่าคงที่จักรวาล (pi as universal constant) จากนั้นอาศัยแนวคิดแบบ Popperian deductivism พิจารณาสมการแอลฟ่า จะนิรนัยได้ว่าประจุพื้นฐานจะมีความสัมพันธ์กับไพคือ มีค่าเท่ากับ(1/2pi)*10^-19 คูลอมบ์ ในที่สุด

ตอนต่อไป
ข. ประจุ 1 อิเลคตรอน มีค่าเท่ากับ (π/2)*10-19 คูลอมบ์


วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2552

Is the great pyramid a monument of pi?

Is the great pyramid a monument of Pi?

Wisdom is not a product of schooling but of the life-long to acquire it.(Albert Einstein)

Introduction

The great pyramid of Egypt is an attractive architecture that interests people all over the world and all through the time to study about its miracle. Some said the great pyramid was a monument of Royal Cubit or RC measurement. It was also assumed as an entrance to other dimensions-SG:star gate- or an unknown energy source for human.


Is the great pyramid a monument of Pi?


Using etymology and decode technique, I can verify that the 1 RC measurement equals 523.96125549 mm length, which is in accordance with “1 RC = 524±2 mm.”This is regarded as the first verification of the world.
(Some refers RC to W.M.Flinders Petrie’s work, which indicated that RC 20.620±0.005 inches. Moreover, in year 2000, Joseph Turbeville applied sequence table to raise a theory that RC = 20.618 inches or 523.6972mm. This is the starting point to show that the great pyramid was created from this measurement which was sourced by this sequence)


The equation of “1RC=523.96125549 mm.” supports the idea that creators of the great pyramid intended to leave crucial evidence to the next generation. They would like to be reminded that they had exalted civilization as they knew about punctual Pi with complicated decimal system.


Unsurprisingly, actual meaning of the great pyramid is to be a monument of Pi.

As the creation of the great pyramid used this concept, our common sense tells us that when we are going to make the length of the base or the height, its measurement is supposed to be in divisible figure without a remainder. For example, if the length of the base (a) equals 440RC, it would be no more important if the height will be in divisible figure with or without a remainder.


The main objective of the proposal is that monument of Pi via the proportion of “a = Pi*h/2” equals “440 = 3.14159265*h/2”. The “h”, as a result of this proportion, may be or may be not in divisible figure with or without a remainder. It is not important because the main objective of the architecture is Pi.


Consequently, with the idea that the great pyramid is monument of Pi, its creators needed to build up this architecture by using one of the two guidelines as follow (with a condition that RC=523.96125549mm);

figure 1


First, the length of the base is 230.54295(or 440RC) meter, and its height is 146.76820 meter. With either condition that 2a/h=3.1415926, or the correct Pi of the seventh figure in decimal system, see figure 1.(This measure starts from setting the length of the base in divisible figure without a remainder or integral number. Next, its height will be calculated to make the proportion of 2a/h = Pi)

figure 2


Second, the length of the height is 146.70915(or 280RC) meter, and its base is 230.45019 meter. With either condition that 2a/h=3.1415926, or the correct Pi of the seventh figure in decimal system, see figure 2. (This measure starts from setting the height in divisible figure without a remainder or integral number, such as 280RC. Next, the length of the base will be calculated to make the proportion of 2a/h = Pi)


Comparison


Then, we are going to compare information between 1) proportion of the great pyramid, as a result of “1RC=523.96mm” and 2) actual information as a result of survey and measurement, which was recorded as 230.429m(756ft*12*2.54cm) base length and 146.7612m(or 481.5ft*12*2.54cm) height.(reference is made to The 1978 Americana Encyclopedia, after converting unit of foot to meter).

figure 3


First, considering only the difference in length, we find that both base lengths is 230.54295-230.429=0.11395 or 11.4 cm different. Also, the difference in height is only146.76820-146.7612 = 0.007 m or 0.7cm, see figure 3.

figure 4


Second,
considering only the difference in length, we find that both base lengths is 230.45019-230.429= 0.02119 or 2 cm different. Also, the difference in height is only146.7612-146.70915 = 0.05205m or 5 cm, see figure 4.


Note, all the differences which are 11.4, 5, 2, and 0.7 cm, may be treated as a very tiny variant in consideration of the great pyramid’s size(its base length is approximately 230 and height 146 m) and this deviation is may be either the cause of erroneous construction or the human erroneous surveying.

Then, from all mentioned reasons above, we can conclude that the great pyramid must be constructed in the unit of RC which its length is equal to 523.96125549 mm exactly.


The explanation of the original RC

The years of searching in the dark for a truth that one feels but cannot express, the intense desire and the alternations of confidence and misgiving until one breaks through to clarity and understanding, are known only to him who has himself experienced them. (Thone, 1994:117)


Must to say that, the Etymology unveil we that the secret of the great pyramid is already hidden in the word “Pyramid.”This word-pyramid-has many meanings such as light, measurement, ten, middle, fire in the middle, and also its proportional revelation which unfold the “occult number” or Thoth god’s number whereas it relate to the legend of Atlantis, or sometime is the name of one gods in the ancient Egypt’s fable.


Some said that, the miraculous number which is shown in the proportion of the great pyramid implied to the Leonardo DaVinci’s Vitruvian Man which is drawn in 1487, some thought that the great pyramid may be signified to Fibonacci series or Golden Spiral, some think that it relates to Star/Shield of David , and some believe it signified to the phi which equals 1.618.


Then all the secret about the great pyramid which relate to the occult number, we can defined its implicit into 2 guide lines


First, believe that the great pyramid relate to Pi

Second, believe that the great pyramid related to the unit of Royal Cubit or RC, the great constant number such as Pi, and the other numbers which will be discovered in the future


In the past, on this mystical number, Sir Isaac Newton the most famous scientist believed his occult insight that the great pyramid had hidden some enigmaticalt number, and he thought this number would take parts as an important impact in the future’s science.


Lord Newton sent some surveyors to Egypt for approving his theory of gravitation which some secrets may be hidden in the great pyramid, such as the mass of earth, for completing his gravity theory, and finally he tried to define the pyramid inch or Pi inch. Later, the idea of Pi inch became to the royal cubit or RC in the present day.


Nowadays, we define RC is equal to 524±2 mm, mean that its length is interval 522-526 mm,


Otherwise, some believe that the great pyramid related to the circle, so the clue of the great pyramid is so called the square circle, or squaring the circle.

This idea accord to the first guide line, which believe that the great pyramid signifies somehow to the mystical number Pi, and we know that Pi is the ultimate characteristics of circle, may be said that when one say circle he said Pi too.


Concluding all ideas which we have seen, we can say that the great pyramid exactly unfold unsurprisingly to Pi and circle.

So, the important words which may be decoded the great pyramid is light, measurement, middle/intermediate, fire in the middle, mystical number, Pi, and circle.

Finally, the greatest secret of the great pyramid is hidden in these words, exactly.


Waiting someone to reveal?

“The gateway to power is secret,but he who attains shall receive.Look to the Light! O my brother.Open and ye shall receive.”(Citing the Emerald Tables of Thoth)

First of all, we must conceived that light and circle have some characteristics together, and they are counterpart of each other, which they always appear in photographs as the ring of light.


As we can see the light’s circle, and the man in the past may saw this beautiful amazing circle of light for many millennium.


Just as we known, some characteristics of circle is noted Pi, surprisingly it seemingly presented in the proportion of the great pyramid too.So, the significant which the great pyramid to express are light and Pi related.However, just as our knowledge in the 20th century told we about the highest secret of light, by the speed of light c, in the famous Einstein’s equation or E=mc2That great equation reveals the inherent mystery of the speed of light.Surprisingly, both Pi and speed of light are two things which wonder the human wisdom for a long time.They try to acquire these two mystery things in the history of human knowledge.

Intuitive approach?

Mysteries there are in the Cosmos that unveiled fill the worked with their light.All through the ages, the light has been hidden.Light of the great fire is hidden within. Clear is the pathway to he who has wisdom.Open the door to the Kingdom of Light.(Citing the Emerald Tables of Thoth)

Some pyramid theorists believe that The entire Giza Plateau is a monument to Light, or it contains in its many dimensions all of the median "measures" of light, The great pyramid is also a "sculpture"of a photon at rest, or the great pyramid has the "rest mass" of a stationary photon, or sense of infinity etc.


All above ideas and together with a mystical intuition, one can see that the relation of light’s circle and Pi lead us to a new ratio of Pi(3.14159265) and speed of light c(2.99792458), or Pi/c = 1.04792251 which is equivalent to 2RC=1047.79 mm

So RC = Pi/2c or 523.96 mm, whereas RC’s length is 524±2mm.So these values are the same miraculous thing.


Now we can see that RC which is surprisingly equal to 523.96 mm is accorded with the words Pi and light in its mystical way. And can verify by real measurements which is mentioned above in heading Comparison.

Note, for a mathematical technic to decode the mystical science, we must say that the two number of Pi and c, are treated only the decimal place to 3.14159265 and 2.99792458.


Problems to contemplate?


If the measurable unit of the great pyramid is made of Pi and the speed of light which led to Pi/2c, so it may be possible that the ancient civilization in 4500 BC known the present speed of light and Pi to the eight digit in decimal system, while we known this speed of light, 299,792.458 km/s, in 1983 or only 25 years ago.


While the true value of Pi in the eight digit, we just expressed or calculated in 1719 or 300 years ago.


So, the measurement of meter and second are the peculiar number of the universe, because they coincide with RC and the great pyramid surprisingly.

Or they own the science of knowing the events in the future, and they know that the human civilization in the year 1983 define the speed of light is 299,492.458 km/s, or may be they own the science of star gate, the space-time theory which is related the over-light speed traveler, whereas our knowledge in the present day is only beginner step.

stargate


Fascinatingly, whereas the RC revelation that it is defined by the knowledge of Pi(the seventh digit or more) and the speed of light c(the seventh digit or more), whereas in ancient Egypt’s Ahmes papyrus recorded in 1650 BC defined Pi as 3.16.


In some way, may be the great pyramid is represented to the value of Pi through the sense of infinity that the Giza Plateau as Pi, 3 large pyramids and the infinite mystery encoded Pi (3.14159265…) is true. Whereas the pyramid creator intense to accuracy construct in RC only the big one, the great pyramid, is the technic to hidden the ultimate secret of RC and Pi.


Or the great pyramid somehow relate to the outer space civilization.

Personally, I think there is a UFO phenomenon which has been interacting with human beings for a long time, perhaps well back into ancient Egypt and even long before.(Steven Mizrach, The Stargate Conspiracy)


Va Comonica in Italy,age c. 10,000 years ago http://www.crystalinks.com/ancientastronauts.html


Conclusion


From all reasons which be surprisingly shown in this article support the theory of Pi-RC measurement which RC was made from the ratio of Pi/c.


Written by Pudalay7000@yahoo.comThe Kingdom of Thailand, South East Asia.


Reference

Thorne, Kip.S(1994). Black Holes and Time Warps : Einstein’s
Outrageous Legacy
. New York : Papermac.

วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2552

วันพุธที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2552

Phi, Fibonacci Numbers and DNA


ฟี(Phi) คืออัตราส่วนทองคำ (Golden ratio)ของลำดับเลขฟีโบนักชี (Fibonacci numbers) ซึ่งเป็นลำดับเลขที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแบบหนึ่งในประวัติศาสตร์ ถูกคิดค้นขึ้นโดยนักคณิตศาสตร์ชาวอิตาเลียนชื่อ เลโอนาร์โด ฟีโบนักชี (Leonardo Fibonacci) แห่งเมื่องปิซา เมื่อศตวรรษที่สิบสาม เลขฟีโบนักชีสามารถเขียนเป็นอนุกรมได้ดังนี้คือ

1, 1, 2, 3, 5, 8, 13, 21, 34, 55, 89, x, y, x+y, …
(ตัวเลขตำแหน่งที่ n เท่ากับ ตัวเลขตำแหน่งที่ n-1 บวกกับตัวเลขตำแหน่งที่ n-2, หรือ Xn = Xn-1 + Xn-2)
เป็น

Phi ก็คือตัวเลข 1.618…เป็นค่าคงที่ของธรรมชาติ ที่มีคุณสมบัติที่น่าทึ่งหลายประการ แต่คุณสมบัติที่น่าสนใจที่สุด ของ Phi ก็คือ Phi มีความเกี่ยวพัน กับลำดับเลขฟีโบนักชี เป็นอย่างมาก ทั้งนี้ก็เป็นเพราะว่า ถ้าเอาเลขฟีโบนักชีตัวใดตัวหนึ่งมา แล้วหารด้วยเลขฟีโบนักชี ในลำดับที่มาก่อนหน้าหนึ่งตำแหน่ง มักจะได้ผลหารเท่ากับ หรือใกล้เคียงกับ Phi หรือ 1.618… เสมอ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเรานำเลขฟีโบนักชีสองจำนวน ที่อยู่ติดกันมาหารกัน เช่น 309/191 จะได้ผลหารเท่ากับ 1.6179 หรือเอา 118/73 จะได้ผลหารเท่ากับ 1.6164 ซึ่งมีค่าใกล้เคียงกับ Phi เป็นอย่างมาก และถ้าเราพิจารณาเลขฟีโบนักชีที่มีค่ามากๆ จะพบว่าอัตราส่วนของเลขสองจำนวนจะเท่ากับ 1.61803398874989... เสมอ

ค่าฟีนี้ ยังปรากฏในสัดส่วนของมหาพีระมิดแห่งกีซ่าด้วย คือ มีความเกี่ยวกันกับสูงเอียงและความยาวฐาน ดังนี้ กำหนดให้สูงเอียงคือ apothem, ความยาวฐานคือ a
phi=apothem/(a/2)=186.37/(230.36/2)=1.618
ดังนั้น ผู้สร้างมหาพีระมิด ย่อมไม่ใช่อารยธรรมที่ไม่ซิวิไลซ์อย่างแน่นอน

ค่าฟี ไม่เพียงปรากฏในพีระมิดแห่งกีซ่าเท่านั้น
แต่ค่าฟี ยังปรากฏในความยาวของกระดูกนิ้วมือของมนุษย์ โดยแต่ละข้อจะมีอัตราส่วนเรียงตามลำดับเลขฟีโบนักชี
หรือ อัตราส่วนของสัดส่วนหน่วยโครงสร้างร่างกายมนุษย์ เช่น ระยะจากหัวถึงพื้นหารด้วยระยะจากสะดือถึงพื้น ระยะจากไหล่ถึงปลายนิ้วมือหารด้วยระยะจากข้อศอกถึงปลายนิ้วมือ หรือระยะจากสะโพกถึงพื้นหารด้วยระยะจากหัวเข่าถึงพื้น เป็นต้น

รวมไปถึงการเรียงตัวของอะตอม หรือโมเลกุลของสิ่งมีชีวิตอีกด้วย(โปรดอ่านใน รหัสลับนาโนเทคโนโลยี ใน รหัสลับดาวินชี (The Da Vinci Code)
จากรูปข้างบน เราจะเห็นว่า ลำดับเลข fibonacci มีความสัมพันธ์กับ รหัส DNA ในลักษณะคู่ลำดับที่อยู่บนเกลียวอันไม่สิ้นสุด...

นอกจากนี้แล้ว สัดส่วนต่างๆของ DNA มีความเกี่ยวข้องกับ phi เป็นอย่างมาก เช่น ความยาวของ ดีเอ็นเอ เท่ากับ 34 นาโนเมตร เกิดจากการรวม major groove ที่มีความยาว 21 นาโนเมตร เข้ากับ minor groove ที่มีความยาว 13 นาโนเมตร เข้าด้วยกัน (13 + 21 = 34) คือ เลขฟีโบนักชี นั่นเอง!

สัดส่วนต่างๆของดีเอ็นเอ มีความเกี่ยวข้องกับ Phi เป็นอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่น
ความยาวของ major groove (21 นาโนเมตร) ต่อความยาวของ minor groove (13 นาโนเมตร) ซึ่งก็คือคู่ลำดับของไฟโบนักชี 21/13 มีค่าเท่ากับ 1.615…ซึ่งเป็นค่าที่ใกล้เคียงกับ Phi (โปรดดู)

ดังนั้นขุมปัญญาเกี่ยวกับค่าไพและค่าฟี จะยังคงเป็นปริศนาที่งดงามของจักรวาล ความลี้ลับที่รอการค้นพบ...อีกมหาศาล

ขอบคุณ

วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2552

Pyramid and Zero Point Energy(ZPE)



In physics, the zero-point energy is the lowest possible energy that a quantum mechanical physical system may have and is the energy of the ground state. The quantum mechanical system that encapsulates this energy is the zero-point field.

The concept was first proposed by Albert Einstein and Otto Stern in 1913. The term "zero-point energy" is a calque of the German Nullpunktenergie. All quantum mechanical systems have a zero point energy. The term arises commonly in reference to the ground state of the quantum harmonic oscillator and its null oscillations.

Zero-point energy is sometimes used as a synonym for the vacuum energy, an amount of energy associated with the vacuum of empty space. In cosmology, the vacuum energy is one possible explanation for the cosmological constant.[1] The variation in zero-point energy as the boundaries of a region of vacuum move leads to the Casimir effect, which is observable in nanoscale devices.

A related term is zero-point field, which is the lowest energy state of a field; i.e. its ground state, which is non-zero.(
Wikipedia)

Question:

What is the 'zero-point energy' (or 'vacuum energy') in quantum physics?
Is it really possible that we could harness this energy?
[Written in response to a ask the experts query from a reader of the Scientific American.]

Answer:
© Matt Visser, September 1997

The Zero Point Energy (ZPE) is an intrinsic and unavoidable part of quantum physics. The ZPE has been studied, both theoretically and experimentally, since the discovery of quantum mechanics in the 1920s and there can be no doubt that the ZPE is a real physical effect.

The "vacuum energy" is a specific example of ZPE which has generated considerable doubt and confusion. In a completely empty flat universe, calculations of the vacuum energy yield infinite values of both positive and negative sign--something that obviously does not correspond to the nature of the real world.

Observation indicates that in our universe the grand total vacuum energy is extremely small and quite possibly exactly zero. Many theorists suspect that the total vacuum energy is exactly zero.

It definitely is possible to manipulate the vacuum energy. Any objects that change the vacuum energy (electrical conductors, dielectrics and gravitational fields, for instance) distort the quantum mechanical vacuum state. These changes in the vacuum energy are often easier to calculate than the total vacuum energy itself. Sometimes we can even measure these changes in the vacuum energy in laboratory experiments...
...

Unfortunately...

The first and most obvious problem is that there are other quantum fields in the universe apart from electromagnetism. Electrons, for starters, plus neutrinos, quarks, gluons, W, Z, Higgs and so on. In particular, if you do the calculation for electrons you will find that what are known as
Fermi statistics give rise to an extra minus sign in the calculation.

Adding minus infinity to plus infinity gives mathematicians nightmares and even makes theoretical physicists worry a little. Fortunately, nature does not worry about what the mathematicians or physicists think and does the job for us automatically. Consider the grand total vacuum energy (once we have added in all quantum fields, all particle interactions, kept everything finite by hook or by crook, and taken all the proper limits at the end of the day). This grand total vacuum energy has another name: it is called the "cosmological constant," and it is something that we can measure observationally.

In its original incarnation, the cosmological constant was something that Einstein put into General Relativity (his theory of gravity) by hand. Particle physicists have since taken over this idea and appropriated it for their own by giving it this more physical description in terms of the ZPE and the vacuum energy. Astrophysicists are now busy putting observational limits on the cosmological constant. From the cosmological point of view these limits are still pretty broad: the cosmological constant could potentially provide up to 60 percent to 80 percent of the total mass of the universe.

From a particle physics point of view, however, these limits are extremely stringent: the cosmological constant is more than 10**(123) times smaller than one would naively estimate from particle physics equations. The cosmological constant could quite plausibly be exactly zero. (Physicists are still arguing on this point.) Even if the cosmological constant is not zero it is certainly small on a particle-physics scale, small on a human-engineering scale, and too tiny to be any plausible source of energy for human needs--not that we have any good ideas on how to accomplish large-scale manipulations of the cosmological constant anyway.

Putting the more exotic fantasies of the free lunch crowd aside, is there anything more plausible that we could use the ZPE for? It turns out that small-scale manipulations of the ZPE are indeed possible. By introducing a conductor or a dielectric, one can affect the electromagnetic field and thus induce changes in the quantum mechanical vacuum, leading to changes in the ZPE. This is what underlies a peculiar physical phenomenon called the Casimir effect. In a classical world, perfectly neutral conductors do not attract one another. In a quantum world, however, the neutral conductors disturb the quantum electromagnetic vacuum and produce finite measurable changes in the energy as the conductors move around. Sometimes we can even calculate the change in energy and compare it with experiment. These effects are all undoubtedly real and uncontroversial but tiny.

More controversial is the suggestion, made by the physicist Julian Schwinger, that the ZPE in dielectrics has something to do with sonoluminescence. The jury is still out on this one and there is a lot of polite discussion going on (both among experimentalists, who are unsure of which of the competing mechanisms is the correct one, and among theorists, who still disagree on the precise size and nature of the Casimir effect in dielectrics.) Even more speculative is the suggestion that relates the Casimir effect to "starquakes" on neutron stars and to gamma ray bursts.

In summary, there is no doubt that the ZPE, vacuum energy and Casimir effect are physically real. Our ability to manipulate these quantities is limited but in some cases technologically interesting. But the free-lunch crowd has greatly exaggerated the importance of the ZPE. Notions of mining the ZPE should therefore be treated with extreme skepticism.

หมู่พีระมิดแห่งกีซ่า ประเทศอียิปต์ ซึ่งมีอายุ 10,500 BC หรือ 12,500 ปีัล่วงมาแล้วตามกรอบทฤษฎีของ Graham Hancock and Robert Bauval โดยนักคิดทั้งสองนี้ ได้คำนวณอายุของยุคการสร้างพีระมิดผ่านแผนที่ตำแหน่งดาว และพบว่า วันเดือนปีที่ตำแหน่งดาวสอดคล้องกับพีระมิดคือเดือนมิถุนายน 10,500 BC พบว่าตำแหน่งพีระมิดทั้ง 3 ทำมุม 45 องศากับทิศเหนือ ขณะเดียวกันดาวทั้ง 3 ของหมู่ดาวโอเรียน ซึ่งเชื่อกันว่าการเรียงตัวของมันเป็นสิ่งเดียวกันกับการเรียงตัวของพีระมิด ก็พบว่าทำมุม 45 องศาด้วยเช่นกัน(ดูรูปข้างล่าง) ซึ่งโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ มีเหตุผลเพียงประการเดียวคือหมู่ดาวเคลื่อนที่ลงสู่ตำแหน่งต่ำสุด ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 10,500BC เพียงครั้งเดียวในรอบระยะเวลากว่าหนึ่งหมื่นปีี่ที่ผ่านมา
ดังนั้นหากพีะมิดมีอายุยาวนานเช่นนี้จริง แสดงว่ามนุษย์ในยุคนั้นอาจมีองค์ความรู้ หรือเทคโนโลยีระดับสูง..อย่างน้อยก็อาจมากกว่าหรือเท่ากับมนุษย์ยุคปัจจุบัน



ความสัมพันธ์ระหว่างพีระมิดกับแสงนั้น มีนัยได้หลายแนวทาง ไม่เพียงแ่ต่คำว่า pyramid แปลว่า "ไฟที่อยู่ตรงกลาง" หรือ "แสงอยู่ตรงกลาง"เท่านั้น แต่ยังสามารถค้นหาร่องรอยพีระมิดผ่านคำอื่นได้อีก 

In the sunlight these white casing stones would have acted like gigantic mirrors, reflecting a light so powerful that the Great Pyramid ‘would have been visible from the moon as a shining star on earth’.[1] No wonder the ancient Egyptians named the Great Pyramid Khut, meaning ‘Light’, or “Ikhet”, the “Glorious Light” or “Shining One”. 
นั่นคือ ภาษาโบราณของไอยคุปต์เรียกพีระิมิดว่า "khut" ซึ่งหมายถึงแสง  หรือ แสงที่รุ่งโรจน์

แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพีระมิดกับแสง ยังไม่ได้รับการพิสูจน์อย่างแจ่มชัด แต่ก็มีความหวังอันระยิบระยับ..เพราะหากพีระมิดมีชื่อเรียก ที่มีเค้าหรือรหัสนัยของแสงแล้ว  ก็เป็นเรื่องดีที่จะได้แกะรอยสืบค้นคว้าในแนวทางนี้ต่อไปในอนาคต

โชคดี..มีแนวคิดหนึ่ง เสนอกรอบทฤษฎีว่าพีระมิดถูกสร้างมาจากแนวคิดเรื่องวงกลมของแสง โดยมีอัตราส่วนที่แน่นอน คือ a=(pi/2)h เมื่อ a= ความยาวฐาน และ h = ความสูง (ดังปรากฏในรูปข้างต้น) ซึ่งสมการดังกล่าวนี้เป็นที่ยอมรับกันเป็นการทั่วไปว่า คือ สัดส่วนโครงสร้าง ที่แท้จริงของพีระมิดแห่งกีซ่า

จากสมการดังกล่าว  แสดงให้เห็นว่าองค์ความรู้ที่ถูกซุกซ่อนอยู่ในพีระมิด เป็นองค์ความรู้ระดับสูง เช่น ค่า pi หน่วยวัดที่สัมพันธ์กับแสง ตลอดจนรหัสนัยสำคัญบางประการเกี่ยวกับ Zero Point Energy/ZPE ดังนี้

  • ที่จุดศูนย์กลางของวงกลมหนึ่งหน่วยใดๆ พิกัด (x,y) หรือ (0,0) ก็คือจุดศูนย์กลางของวงกลม แต่หากพิจารณาแบบ 3 มิติ จุดศูนย์กลางของทรงกลมก็คือ (x,y,z) หรือ (0,0,0) or zero point
  • ปลายยอดของพีระมิดทั้ง 4 จะพบกันที่พิกัด (0,0) นั่นคือ รหัสนัยว่า ปลายยอดพีระมิดเกี่ยวเนื่องบางลักษณะกับ (0,0) หรือ (0,0,0) ซึ่งเป็นจุดกำเนิด หรือจุดเริ่มต้นของบางสิ่ง พลังงานบางอย่าง หรือบางยุค เช่น Zep Tepi?
  • ดังนั้นปลายยอดของพีระมิดส่งรหัสนัยว่า เกี่ยวเนื่องกับยุคเริ่มแรกของบางสิ่ง เช่น จักรวาล หรือ ยุคของโลก หรือยุคแห่งการสร้่างพีระมิด ซึ่งตามทฤษฎีความสัมพันธ์กับหมู่ดาวโอเรียน ก็คือ 12,500 ปีีที่ผ่านมา หรือ อาจเป็นแนวคิดอื่นๆ
  • พีระมิดทั้ง 4 สื่อรหัสนัยว่า คือ space-time หรือ xyz-t นั่นคือ มิติทั้ง 4 มีจุดกำเนิดมาจาก จุด (0,0) หรือหากพิจารณาแบบ 4 มิติก็ต้องกล่าวว่า พีระมิดสื่อรหัสนัย xyz-t คือ (0,0,0,0)
  • ดังนั้นจุด (0,0,0,0) จึงมีความหมายว่าเป็นจุดเริ่มต้นของ space-time หรือ จุดเริ่มต้นของจักรวาล ซึ่งปัจจุบันมีทฤษฎีรองรับคือ Big Bang Theory ที่ให้กำเนิดเทศะ-กาละและสิ่งมีชีวิตต่างๆ
  • อริสโตเติล มองว่า จุดศูนย์กลางของวงกลมอัดแน่นด้วยกาลเวลาทั้ง 3 คือ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ดังนั้นปลายยอดของพีระมิด(จุดศูนย์กลางของวงกลม) ก็อาจเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่า time energy ที่นักฟิสิกส์ชาวรัสเซียคนหนึ่งเคยค้นพบ และรายงานว่า time energy เป็นพลังงานชนิดใหม่ที่มนุษย์ไม่เคยพบเห็นมาก่อน
  • จุดศูนย์กลางวงกลม หรือปลายยอดของพีระิมิด สื่อรหัสนัยถึง Zero Point Energy/ZPE or vacuum energy/Nullpunktenergie นั่นคือ ความรู้ว่าด้วย ZPE จะมีอยู่ที่พีระิมิดอย่างแน่นอน(หรือว่าไม่แน่นอนดี?)
  • พิจารณาจากบริบทของคำในภาษาอียิปต์โบราณ คือ คำว่า Hilipolitan ซึ่งหมายถึุง nothing, none, and zero ดังนั้นพีระมิดสื่อรหัสนัยว่าเกี่ยวโยงกับ (0,0,0,0)ของ space-time
  • ดังนั้นแม้ว่านักฟิสิกส์ในยุคปัจจุบันจะเผชิญกับปัญหาคือ The "vacuum energy" is a specific example of ZPE which has generated considerable doubt and confusion แต่พีระมิดก็อาจมีคำตอบเรืื่อง จุดกำเินิดของสรรพสิ่งรออยู่นะ...ขอบอก
เรื่องราวปริศนาองค์ความรู้ที่ซุกซ่อนอยู่ในพีระมิดทั้ง 3  ช่างลี้ลับซับซ้อนน่าติดตามค้นหา 
ขณะเดียวกันโลกมนุษย์ยุคนี้ ก็มีเค้าลางชะตากรรมใกล้เคียงกับดินแดนที่สาบสูญนามว่า Atlantis นั่นคือ โลกที่ต้องเผชิญกับปัญหาิวิกฤติร้ายแรงทางสิ่งแวดล้อม  ขณะที่องค์ความรู้ขั้นสูง(เช่น ZPE) ยังแค่เพิ่งเริ่มต้น..แต่ยุคผู้สร้างหมู่พีระมิดอาจก้าวไปถึง ค้นพบ และรู้ัจักใช้สิ่งนี้มาก่อนแล้ว และล่มสลายมาก่อนแล้วด้วยเหมือนกัน 
หมู่พีระมิดอาจเป็นร่องรอยของหายนะโลก และความรุ่งโรจน์ของแิอตแลนติสในขณะเดียวกัน

http://peswiki.com/index.php/Directory:Zero_Point_Energy
http://www.zpenergy.com/modules.php?name=News&file=article&sid=1609
http://peswiki.com/index.php/Directory:Dark_Energy