วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2552

Big Bang, Light, Pi, DNA กับ มนุษย์?

http://satirica.net/wp-content/uploads/2007/06/big_bang_universe.jpg


ทฤษฎี “บิ๊กแบง” (Big Bang Theory) เป็นทฤษฎีทางดาราศาสตร์ที่กล่าวถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาของจักรวาล ปัจจุบันเป็นทฤษฎีที่เป็นที่เชื่อถือและยอมรับมากที่สุด ทฤษฎีบิ๊กแบงเกิดขึ้นจากการสังเกตของนักดาราศาสตร์ที่ว่า ขณะนี้จักรวาลกำลังขยายตัว ดวงดาวต่าง ๆ บนท้องฟ้ากำลังวิ่งห่างออกจากกันทุกที เมื่อย้อนกลับไปสู่อดีต ดวงดาวต่างๆ จะอยู่ใกล้กันมากกว่านี้ และเมื่อนักดาราศาสตร์คำนวณอัตราความเร็วของการขยายตัวทำให้ทราบถึงอายุของจักรวาลและการคลี่คลายตัวของจักรวาล รวมทั้งสร้างทฤษฎีการกำเนิดจักรวาลขึ้นอีกด้วย

ตามทฤษฎีนี้ จักรวาลกำเนิดขึ้นเมื่อประมาณ ๑๕,๐๐๐ ล้านปีที่แล้ว ก่อนการเกิดของจักรวาล ไม่มีมวลสาร ช่องว่าง หรือกาลเวลา จักรวาลเป็นเพียงจุดที่เล็กยิ่งกว่าอะตอมเท่านั้น และด้วยเหตุใดยังไม่ปรากฏแน่ชัด จักรวาลที่เล็กที่สุดนี้ได้ระเบิดออกอย่างรุนแรงและรวดเร็วในเวลาเพียงเศษเสี้ยววินาที (Inflationary period) แรงระเบิดก่อให้เกิดหมอกธาตุซึ่งแสงไม่สามารถทะลุผ่านได้ (Plasma period)

ต่อมาจักรวาลที่กำลังขยายตัวเริ่มเย็นลง หมอกธาตุเริ่มรวมตัวกันเป็นอะตอม จักรวาลเริ่มโปร่งแสง ในทางทฤษฎีแล้วพื้นที่บางแห่งจะมีมวลหนาแน่นกว่า ร้อนกว่า และเปล่งแสงออกมามากกว่า ซึ่งต่อมาพื้นที่เหล่านี้ได้ก่อตัวเป็นกลุ่มหมอกควันอันใหญ่โตมโหฬาร และภายใต้กฎของแรงโน้มถ่วง กลุ่มหมอกควันอันมหึมานี้ได้ค่อยๆ แตกออก จนเป็นโครงสร้างของ “กาแลกซี” (Galaxy) ดวงดาวต่าง ๆ ได้ก่อตัวขึ้นในกาแลกซี และจักรวาลขยายตัวออกอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน

นักดาราศาสตร์คำนวณว่าจักรวาลว่าประกอบไปด้วยกาแลกซีประมาณ ๑ ล้านล้านกาแลกซี และแต่ละกาแลกซีมีดาวฤกษ์อย่างเช่นดวงอาทิตย์อยู่ประมาณ ๑ ล้านล้านดวง และสุริยจักรวาลของเราอยู่ปลายขอบของกาแลกซีที่เรียกว่า “ทางช้างเผือก” (Milky Galaxy) และกาแลกซีทางช้างเผือกก็อยู่ปลายขอบของจักรวาลใหญ่ทั้งหมด เราจึงมิได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาลเลย ไม่ว่าจะในความหมายใด

ในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ดาวเทียม “โคบี” (COBE) ขององค์การนาซ่าแห่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งถูกส่งขึ้นไปเพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ของจักรวาลโดยเฉพาะ ได้ค้นพบรังสีโบราณ ซึ่งบ่งบอกถึงโครงสร้างของจักรวาลขณะเมื่อจักรวาลมีอายุเพียง ๓๐๐,๐๐๐ ปี นับเป็นการค้นพบครั้งสำคัญที่ยืนยันว่า จักรวาลกำเนิดขึ้นมาจากจุดเริ่มต้นของการระเบิด และคลี่คลายตัวตามคำอธิบายในทฤษฎี “บิ๊กแบง” จริง
เมื่อได้ทฤษฎีการกำเนิดจักรวาลแล้ว นักดาราศาสตร์ก็สนใจว่าจักรวาลจะสิ้นสุดลงอย่างไร 

มีทฤษฎีที่อธิบายเรื่องนี้อยู่ ๓ ทฤษฎี

ทฤษฎีแรก กล่าวว่า เมื่อแรงระเบิดสิ้นสุดลง มวลอันมหึมาของกาแลกซีต่างๆ จะดึงดูดซึ่งกันและกัน ทำให้จักรวาลหดตัวกลับจนกระทั่งถึงกาลอวสาน
ทฤษฎีที่สอง อธิบายว่า จักรวาลจะขยายตัวในอัตราช้า ๆ จึงเชื่อว่าน่าจะมี “มวลดำ”(dark matter) ที่เรายังไม่รู้จักปริมาณมหึมาคอยยึดโยงจักรวาลไว้ จักรวาลจะขยายตัวไปเรื่อยๆ จนยากแก่การสืบค้น
ส่วนสตีเฟ่น ฮอว์กกิ้ง (Stephen Hawking) ได้เสนอทฤษฎีที่สามว่า จักรวาลจะขยายตัวในอัตราความเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ทฤษฎีบิ๊กแบงนั้นได้รับการเชื่อมต่อด้วยทฤษฎีวิวัฒนาการ (Evolution Theory) ของชาร์ล ดาร์วิน (Charles Darwin) เมื่อโลกเย็นตัวลงนั้น ปฏิกิริยาเคมีจากมวลสารในโลกในที่สุดแล้วก่อให้เกิดไอน้ำ และไอน้ำก่อให้เกิดเมฆ และเมฆตกลงมาเป็นฝน ทำให้เกิดแม่น้ำ ลำธาร ทะเล และมหาสมุทร วิวัฒนาการนี้มีลักษณะแบบ “ก้าวกระโดด” (Emergent Evolution) เมื่อมีสารอนินทรีย์และน้ำปริมาณมหาศาลเป็นเวลาที่ยาวนาน ในที่สุดคุณภาพใหม่คือ “ชีวิต” ก็เกิดขึ้น  (โปรดดูใน บิ๊กแบง)

จากทฤษฎีบิ๊กแบง เราจะพบว่าการระเบิดครั้งแรก มีเพียงกลุ่มของแสงเท่านั้นที่เป็นสิ่งพื้นฐานแรกสุดของจักรวาล 

จากนั้นก็เกิดมีอะตอม โมเลกุล สารประกอบ แกแลคซี่ กลุ่มดาว ของแข็ง ของเหลว ก๊าซ สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว สัตว์หลายเซลล์ สัตว์ พืช ต้นไม้ และมนุษย์ นั้นคือ สรรพสิ่งมีความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้นตามกาลเวลา


Big bang, Light, pi และ DNA

ดังนั้น ภายใต้กรอบทฤษฎีบิ๊กแบงนี้ หากจะกล่าวว่า มนุษย์เกิดจากแสง ก็ไม่แปลกและไม่ผิดแต่ประการใด เพราะจักรวาลเริ่มแรกก็มีแต่แสงเท่านั้น และการวิวัฒนาการจากแสงสู่ชีวิตมนุษย์ ก็ควรที่จะทิ้งร่องรอยเอาไว้บ้างมิใช่หรือ?
http://www.youtube.com/watch?v=B1AXbpYndGc&feature=player_embedded

ขณะเดียวกัน แสง ซึ่งมีธรรมชาติของคลื่น การเคลื่อนที่เป็นเส้นตรง และวงกลมก็เป็นสมบัติประการหนึ่งของแสง เพราะวงกลมของแสงเกิดจากเฟสที่ตรงกันของคลื่นแสงนั่นเอง บ่อยครั้งเรามองย้อนแสง จะเห็นวงกลมของแสง ดังนั้นกล่าวได้ว่า วงกลมคือสมบัติติดตัวอีกประการหนึ่งของแสง
แต่หากเราสังเกตสักนิด คือ แสงนั้น มีธรรมชาติเส้นตรงและวงกลมเป็นสมบัติติดตัว แน่นอนว่า 2 ประการนี้ จะสัมพันธ์กันผ่านค่า pi ดังนั้น pi  ก็คือ สมบัติติดตัวของแสงนั่นเอง

หากนึกไม่ออก ก็ลองจินตนาการ ว่ามีแสงพุ่งออกจากแหล่งกำเนิดด้วยความเร็วคงที่ทุกทิศทาง(ดูรูปด้านบน) เราจะมองเห็นเป็นรูปทรงกลมที่สมบูรณ์แบบที่สุด 
แต่หากเรามองเพียงระนาบเดียว เราก็จะแลเห็นเป็นวงกลมที่ขยายใหญ่ขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป เพราะรัศมีของวงกลมนี้ก็คือ ระยะทางที่แสงเดินทางได้เมื่อเวลาผ่านไปนั่นเอง 

แต่เราจะพบว่า เส้นรอบวงกับรัศมีของแสง จะเป็นอัตราส่วนที่สัมพันธ์กัน เพราะเส้นรอบวงของแสงเกิดจาก รังสีของแสงที่เคลื่อนที่ออกไปทุกทิศทาง และได้ระยะทางเท่ากันภายในระยะเวลาเท่ากัน ดังนั้น แสงจะไม่เดินทางทะลุรัศมีหรือเกินวงกลมออกไปอย่างแน่นอน เพราะจะเป็นการขัดกับหลักการที่ว่า แสงเดินทางด้วยความเร็วคงที่ นั่นเอง

ดังนั้นโมเดลนี้ ชี้ให้เราเห็นว่า แสงเดินทางภายใต้กฎเกณฑ์ของรัศมีและวงกลมนั่นเอง ด้วยเหตุนี้ pi ก็คือเนื้อหาติดตัวของแสงมาตั้งแต่เริ่มมีจักรวาล 

ขณะเดียวกัน pi ก็ปรากฏอยู่ในองค์ความรู้ชั้นสูงของมนุษย์เช่น คณิตศาสตร์ และฟิสิกส์ นอกจากนี้แล้ว pi ยังปรากฏอยู่ใน รหัสพันธุกรรมหรือ DNA

ดังนั้น คงไม่เกินจริงมากนักหากจะกล่าวว่า มนุษย์เกิดจากแสง และมีแสงปรากฏอยู่ใน DNA โดยมี pi เป็นสื่อกลางของเรื่องราวทั้งหมด

นั่นคือ การก่อกำเนิดจากวาล ถือกำเนิดมาจาก Light(มีสมบัติติดตัวคือ pi) พัฒนาสู่การเป็นมนุษย์(ที่มีค่า pi ไพอยู่ใน DNA)

ดังนั้น Light pi DNA กับ man จึงมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด...เพระมนุษย์เกิดจากแสง นั่นเอง

ขณะเดียวกัน มนุษย์ก็คือผลผลิตอันสูงส่งและยิ่งใหญ่ที่สุดของวิวัฒนาการอันยาวนาน ๑๕,000 ล้านปีนี้ มนุษย์ที่กำลังจะเข้าใจที่มา รากเหง้าของตนเอง..มหัศจรรย์จริงๆ

จบ.

1 ความคิดเห็น:

  1. แค่ pi อยู่ใน dna แล้วสมคบคิดว่าเป็นที่มาเลยกระนั้นหรือ!!!

    ตอบลบ